ไม่ผิดจะกลัวอะไร : “ปราบมาเฟียเพื่อความมั่นคง”

คำสั่ง หน.คสช. “ปราบมาเฟียเพื่อความมั่นคง” Chapter II โดย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 

“เมื่อรั้วของชาติ ทำลายรั้วของประชาชน”

สารคดีว่าด้วยพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ทหารในการควบคุมตัวประชาชนชาวไทยตามอำนาจที่ได้รับมาจากกฎอัยการศึกจนถึงคำสั่งจากหัวหน้า คสช.จริงหรือไม่ที่ทหารกำลังจะปราบมาเฟียตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง

สารคดีชิ้นนี้จะเปิดเผยคำบอกเล่าจากบุคคลที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารจะมาเล่าข้อเท็จจริงโดยละเอียดว่าใครคือ “มาเฟีย” ตัวจริง

พร้อมบทความที่สะท้อนคำบอกเล่าของบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารที่ เป็นการควบคุมตัวโดยอาศัยอำนาจจาก คสช.ที่เป็นเพียงความชอบธรรมเดียว ทำให้ทหารสามารถควบคุมตัวประชาชนได้โดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา ไม่มีหมายจับ ขัดกับหลักประมวลวิธีพิจารณาความทางอาญาและมีเสียงสะท้อนจากองค์กรระหว่างประเทศว่า อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

– การควบคุมตัวตามมาตรา 44

“ผมจะถามคำถามง่าย ๆ แต่ตอบยากแค่นั้นแหละ อย่างเช่นถามว่ามาทำแบบนี้กับไปใช้วิธีดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างไหนถูกต้องกว่า … ถามทุกคนที่มา ถามเจ้าหน้าที่ทุกคน ระหว่างใช้มาตรา 44 กับไม่ใช้มาตรา 44 แล้วทำแบบนี้ได้ไหม…”

คืนวันที่ 9 มี.ค. 2559 สราวุธ บำรุงกิตติคุณ ถูกทหารตำรวจอย่างน้อย 30 นาย ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ควบคุมตัวไปจากห้องที่ทำงาน ใน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมยึดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือของเขา โดยไม่แจ้งสาเหตุให้ทราบ ไม่มีหมายจับหรือแม้กระทั่งหมายค้น

อาศัยแค่อำนาจตามมาตรา 44 เพียงเท่านั้น เขาก็ต้องไปใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในค่ายทหารถึง 8 วัน โดยไม่ได้สมัครใจ หรือกระทำผิดกฎหมายใด

อำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่ว่านี้ ระบุให้ “ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว”

อาจถือได้ว่า อำนาจตามมาตรา 44 ได้ให้อำนาจหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่แทบจะเป็นอำนาจอาญาสิทธิ์ เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด และไร้ซึ่งข้อจำกัด ซึ่งคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่มักถูกเจ้าหน้าที่ทหารนำมาอ้างเพื่อควบคุมตัวบุคคลไว้ในค่ายทหาร ได้แก่ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2559

ทั้งคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และ 13/2559 ให้อำนาจทหารในการตรวจค้น  ยึด  และควบคุมตัวบุคคลไม่เกิน 7 วัน  โดยไม่ต้องมีหมายศาล ใช้เพียงแค่ความสงสัยของทหารเพียงฝ่ายเดียวก็สามารถกระทำการดังที่ว่านี้ได้


– กรณีควบคุมตัวแอดมินเพจเปิดประเด็น

สราวุธ บำรุงกิตติคุณ เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า มีผู้แจ้งว่าเขาเป็นพวกหมิ่นสถาบันและรับจ้างทำเพจการเมือง คือเพจ “เปิดประเด็น” ที่สราวุธทำเป็นงานอดิเรกด้วยตนเองคนเดียว ทำให้เขาถูกควบคุมตัวราวกับเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ตัวเขาเองไม่ชอบเฮทสปีช ไม่ชอบภาพตัดต่อใส่ร้าย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสถาบันหรือไรก็ตาม

คืนที่ถูกควบคุมตัวนั้น เจ้าหน้าที่พาสราวุธไปไว้ที่ค่ายวิภาวดีรังสิต (มทบ.45) ก่อนจะนำตัวขึ้นเครื่องบินมายัง มทบ.11 กรุงเทพมหานคร และถูกกักอยู่ในห้องหน้าต่างปิดทึบ มีทหารเวรคอยเฝ้ากะละสามนาย เขาถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และควบคุมตัวอยู่ที่ มทบ.11 ก่อนจะถูกส่งตัวกลับมาปล่อยที่ จ.สุราษฎร์ธานี ในวันที่ 16 มี.ค. 2559

“เขาก็พยายามโยง เขาคิดว่ามีต้นสาย ก็พยายามจะโยงให้ได้ เรื่องเครือข่าย ด้วยรูปแบบเพจ ด้วยรูปแบบเนื้อหา ด้วยภาษาที่ใช้ มันทำให้นึกว่ามีคนที่มีความรู้สูง ๆ ที่เรียนจบมาทางด้านกฎหมาย ทางด้านอะไรเป็นทีมงานกันหลายคน และมีการจ้างทำกราฟฟิก มีการจ้างทำทุกขั้นตอนอะไรแบบนี้ ภาพมันดูเหมือนว่าทำกันหลายคน ซึ่งจริง ๆ มันทำคนเดียวก็ทำได้ เขาพยายามถามว่ามีใครร่วมขบวนการบ้าง” สราวุธเล่าถึงการสอบสวนภายใน มทบ.11

ถึงจะไม่มีการทำร้ายร่างกายในกรณีของเขา แต่สราวุธก็ยอมรับว่าถูกข่มขู่ และมีความกังวลใจที่ไม่สามารถติดต่อใครได้ในระหว่างนั้น

“แต่ว่าขนาดนั้นมันก็คือการจำกัดสิทธิแล้ว คือการจำกัดความเห็น มีข่มขู่ว่าจะให้ขึ้นศาลทหารอย่างนี้ ผมก็ฟุ้งซ่านไปเยอะ”

เป็นเวลากว่า 8 วัน ที่สราวุธถูกควบคุมตัวไว้ในค่ายทหาร โดยไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้ เช่นเดียวกับที่ญาติและทนายความต่างถูกปฏิเสธไม่ให้ติดต่อกับสราวุธ ในขณะที่โฆษก คสช. ออกมาปฏิเสธผ่านสื่อมวลชนว่า ไม่มีข้อมูลการควบคุมตัวแอดมินเพจเปิดประเด็น

ตลอดระยะเวลา 8 วันนั้น สราวุธกลายเป็นบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหาย หรือ “อุ้มหาย” ซึ่งเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคล ตามมาด้วยการปกปิดสถานที่ควบคุมตัว และปฏิเสธจะทราบชะตากรรมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้บุคคลอยู่ภายนอกการคุ้มครองของกฎหมาย อันเป็นการละเมิดต่อพันธกรณีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญ โดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: CED)

– กรณีควบคุมตัวแกนนำร้องเรียน เรื่องไล่รื้อบ้านเรือนและพื้นที่ประกอบอาชีพประมงริมชายหาด อ.เมือง จ.ระยอง

หลังการควบคุมตัวสราวุธในอีก 20 วันถัดมา เช้ามืดวันที่ 29 มี.ค. 2559 ชาวระยองสามคนถูกทหารควบคุมตัวจากบ้านพักไปยังค่ายนวมินทราชินี (มทบ.14) จ.ชลบุรี

“โอ๊ย! ทำไมมาเยอะแยะ อย่างกับจับเสือ จับโจร ทหารมาเยอะ หลายคัน เป็นแถวเลยตรงหน้าบ้าน ชาวบ้านก็แตกตื่นออกมาดู ก็ตกใจทหารมาเยอะ”ละม่อม บุญยงค์ หนึ่งในผู้ถูกควบคุมตัวเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้น ก่อนที่ตัวเขา อนันต์ ทองมณี และรังสรรค์ ดอกจันทร์ จะถูกพาตัวไปที่ค่ายมหาสุรสิงหนาท (พัน ร.7) ที่ จ.ระยอง แล้วจึงส่งตัวต่อไปยัง มทบ.14 จ.ชลบุรี

“ถามว่ามาเชิญเรื่องอะไร เขาก็บอกว่ามันมีข่าวมาว่าลุง พวกลุงสามคน จะก่อม็อบ ชวนชาวบ้านทั้งหมดก่อม็อบไล่นายอำเภอ ลุงก็งง มันไม่เคยมีความคิดของลุงที่จะไปก่อม็อบอะไรพวกนี้ แล้วชาวบ้านหยิบมือแค่นี้จะไปก่อม็อบทำไม”

เช่นเดียวกับอนันต์ ทองมณี ที่ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ทำอย่างที่ทหารอ้าง “คือกล้าพูดและกล้าแสดงออก กล้ามีจิตอาสาที่จะทำเพื่อชาวบ้าน คือกล้า ถ้าถามว่าจะกล้าไปก่อม็อบนั่นไม่กล้าหรอก บอกท่าน ผบ. ผมไม่ได้คิดทำอะไรท่านไปสืบดูได้ ไปสืบถามชาวบ้านว่า ณ วันนี้ชาวบ้านรวมตัวกันไหม รวมตัวไหม ไม่มี”

แม้ปรากฏข้อเท็จจริงดังว่า แต่ทั้งสามคนก็ต้องถูกควบคุมตัวไว้ที่ มทบ.14 หนึ่งคืน และถูกยึดโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะปล่อยตัวในเช้าวันถัดมาโดยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดตามกฎหมายใด


– การควบคุมตัวที่มีราคาต้องจ่าย

จุดร่วมของสี่คนนี้ คือการถูกจับจากข่าวที่ทหารได้รับ นำตัวพวกเขาไปไว้ในค่ายทหาร และปล่อยตัวออกมาหลังจากพบว่าไม่มีใครทำผิดตามที่ถูกสงสัย

“เรียกว่ามันเกิดความผิดพลาดที่เขา หน่วยข่าวกรองเขา การกรองข่าวเขามันผิดพลาด การกรองข่าวเขาว่าเขาจะต้องได้อะไรที่มันใหญ่โต ได้คนผิดแน่นอนอะไรอย่างนี้ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วเขาไปได้เอาประชาชนธรรมดาที่วิจารณ์รัฐบาลอย่างบริสุทธิ์ใจ สุจริต” สราวุธให้ความเห็น

ไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว เนื้อความที่ผู้นำทหารย้ำผ่านสื่อมวลชนบ่อยครั้งเมื่อถูกถามถึงมาตรการที่นำมาใช้จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนผ่านมาตรา 44 เห็นได้ว่า กรณีตัวอย่างทั้งสี่คนนี้ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และไม่มีการดำเนินคดีทางกฎหมายใด ๆ ตามมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้รับความเสียหายจากการถูกควบคุมตัวในลักษณะนี้

“นอกจากเสียเวลาไป 7-8 วันในการถูกควบคุมตัวแล้วยังต้องมานั่งตั้งสติ เรียกขวัญตัวเองอีก 4-5 วัน แล้วต้องมานั่งเช็คคอมพิวเตอร์อีก 3-4 วันอย่างนี้ กว่าจะเรียกกลับมาได้ก็เสียหายไปเยอะนะ” สราวุธชี้แจงในกรณีของเขา

อดีตแอดมินเพจเปิดประเด็นเล่าว่า คอมพิวเตอร์ของเขาเสียหายในส่วนของเมนบอร์ดและพาวเวอร์ซัพพลาย สายฮาร์ดดิสก์และฮาร์ดดิสก์บางตัวหลุดออกมา คล้ายกับถูกถอดเพื่อรื้อดูข้อมูลในนั้น ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสียหาย อ่านข้อมูลไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเข้ารหัสคอมพิวเตอร์ไว้

นอกจากนี้ เขายังถูกบีบให้ต้องเซ็นยอมรับเงื่อนไขของ คสช. เพื่อจะได้รับการปล่อยตัว ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวระบุว่า จะไม่เดินทางออกนอกประเทศก่อนได้รับอนุญาต ละเว้นการเคลื่อนไหวหรือประชุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ และเมื่อไหร่ที่ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง เขายินยอมที่จะถูกดำเนินคดีและถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน อันเป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 40/2557 ที่เพิ่มเติมคือ สราวุธถูกทหารสั่งให้ปิดเพจเปิดประเด็นอีกด้วย

เช่นกันกับที่ระยอง ละม่อม อนันต์ และรังสรรค์ ถูกห้ามรวมตัวกัน หรือไปปรากฏตัวในที่ชุมนุมของคนจำนวนมาก

“เขาก็บอกสั่งมาว่า ถ้ามานี่แล้วอย่าไปรวมตัวกันอีก อย่าไปอยู่กับคนหมู่มาก ถ้าเขาถ่ายรูปลุงอยู่ในคนหมู่มากอีก เขาจะเชิญมาอีก ทีนี้จะมาอยู่หลายวัน เขาว่าแบบนั้น” ละม่อมเล่าถึงเงื่อนไขการปล่อยตัวที่ถูกกำชับมาจากฝ่ายทหาร

อย่างไรก็ตาม ที่ จ.ระยอง นั้นดูเหมือนการควบคุมตัวและตั้งเงื่อนไขของ คสช. จะยิ่งส่งผลกระทบหนัก เมื่อคนที่ถูกควบคุมตัวไปคือหัวหน้าครอบครัว ผู้มีภาระหน้าที่ดูแลอีกหลายชีวิตในบ้าน

“มาจับผมทำไม ทางนี้ก็เดือดร้อนสิ หมึกก็ไม่มีใครไปซื้อ นั่นก็ไม่มีใครไปซื้อ ตาย มันเดือดร้อนนะ ถ้าอยู่สามวัน ครอบครัวผมจะทำไง มีกินไหม ลูกเต้าจะทำไง เพราะว่าเงินต้องอยู่กับผม ตื่นเช้ามาค่าใช้จ่ายอยู่กับผมหมด ทางนี้จะทำไง เอทีเอ็มก็อยู่กับผมหมด จะทำยังไงทีนี้” อนันต์เล่าถึงความร้อนใจระหว่างถูกควบคุมตัว

นอกจากนี้ ทั้งละม่อม อนันต์ และรังสรรค์ ต่างเป็นกลุ่มชาวประมงเรือเล็กและประกอบอาชีพแปรรูปอาหารทะเลริมชายฝั่ง ซึ่งได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไล่รื้อที่อยู่ของพวกเขาบริเวณชายหาด ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อขอให้รัฐจัดพื้นที่รองรับสำหรับผู้ได้รับผลกระทบเสียก่อน แต่เมื่อมีเงื่อนไขห้ามรวมตัวดังกล่าวแล้ว กระบวนการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างก็เกิดขึ้นโดยที่พวกเขาไม่กล้าคัดค้านอะไรอีกต่อไป


เขาบอกว่าให้ทำตามมติที่ประชุม จับมือทำตามมติที่ประชุมเลย คือรื้อ บอกให้รื้อเลย แล้วห้ามให้เราเข้าไปในที่ที่มีคนมาก ห้ามประชุมชาวบ้านห้ามอะไร เราก็ไม่ทำ เราก็ไม่เคยเข้าไป แม้แต่จะไปงานบวชเขาเรายังไม่ไปเลย กลัวเขาจะมาเชิญเราอีก กลัวเดือดร้อน ไปงานแต่งก็กลัวที่มีคนเยอะ ๆ เพราะเขาห้ามไว้แล้ว” อนันต์เล่าถึงสถานการณ์หลังได้รับการปล่อยตัว

ปัจจุบันนี้ อนันต์อาศัยอยู่ในเพิงผ้าใบที่ทางเทศบาลนำมาตั้งไว้ เนื่องจากบ้านถูกรื้อทำลายตามนโยบายจัดระเบียบชายหาดของ คสช. ซึ่งนโยบายนี้ได้หอบเอาวิสาหกิจชุมชน ต.ปากน้ำ และธนาคารปูหายไปจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บริเวณชายหาดอีกด้วย


จะจัดยังไงก็ให้มีที่รองรับให้กับเรามั่ง ให้คนจน ๆ ระบบรากหญ้าได้มีที่ยืน ได้มีที่ทำกิน ไม่ใช่มารื้ออาชีพดั้งเดิมเขา ไม่ใช่ไม่มีที่รองรับอะไรเขาเลย อย่างนี้มันเดือดร้อนครับ มันเดือดร้อน ถามทุกคนได้ บางคนร้องไห้เลย มีภาพทหารมาหิ้ว ร้องไห้ ก็หมดตัวน่ะ คนเราหมดตัวจะทำไง

วันนี้ผมมาอยู่ตรงนี้ ตามคำสั่งของเทศบาล เขียนไว้ว่าที่รองรับผู้ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบชายหาด ผมก็จำเป็นจะต้องมานั่งกินตรงนี้ นอนกินตรงนี้ เพื่อรออะไร รอให้เขาได้จัดสรร ได้เข้ามาช่วยเหลือ ผมก็อยากรู้ ท่านจะทนเห็นได้ไหมกับคนที่ถูกล้มล้างอาชีพที่ทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายต้องมาเป็นอย่างนี้” อนันต์เปิดปากเล่าท่ามกลางเครื่องเรือนและอุปกรณ์ทำกินกองระเกะรกะภายใต้เพิงผ้าใบที่เปิดโล่งทั้งสี่ด้าน

เวลา สภาพจิตใจ ทรัพย์สิน บ้าน อาชีพ และสิทธิที่จะเรียกร้องชีวิตที่ดีให้แก่ตนเอง คือสิ่งที่เสียหาย หรือถูกทำลายไปหลังการควบคุมตัวทั้งสี่คน ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44

หากไม่ผิดจะกลัวอะไร คงเป็นคำตอบที่ คสช. อยากจะย้ำกับสราวุธ ละม่อม อนันต์ รังสรรค์ และคนไทยคนอื่นอีกหลายล้านคน เพื่อให้ยังคงสามารถใช้อำนาจควบคุมตัวประชาชนได้ต่อไปไม่รู้จบ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทั้งสี่ และอาจมีอีกมากมายนับพันคนที่ถูกควบคุมตัวโดย คสช. เราอาจต้องเริ่มเปลี่ยนคำถามมาเป็นหากปล่อยให้มีการใช้อำนาจตามอำเภอใจแบบนี้ ถึงไม่มีความผิด ใครเลยจะกล้าการันตีว่าจะไม่มีใครต้องสูญเสียอะไรไปอีกมากต่อมากเท่าไหร่.

“คณะกรรมการสิทธิฯ” ย้ำ คสช.เรียกรายงานตัวตามอำเภอใจนั้นไม่เหมาะสม แนะคณะรัฐมนตรีทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษ

กสม.เผย รายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯ ย้ำ คสช.เรียกบุคคลไปรายงานตัวและควบคุมตัวไว้ 7 วันเป็นพฤติการณ์ไม่เหมาะสม เหตุเพราะจำกัดสิทธิบุคคลขัดกับกติการะหว่างประเทศ แนะคณะรัฐมนตรีทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษเกี่ยวกับความมั่นคง

จากกรณีที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ภาคประชาสังคมและประชาชน ขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายหลังรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เนื่องจากศูนย์ทนายฯ พบข้อมูลอย่างน้อย 14 กรณี ที่มีการซ้อมทรมาน ทั้งการทำร้ายร่างกายและพูดจาข่มขู่ ชี้ว่า แม้คสช.จะยกเลิกการเรียกรายงานตัวอย่างเป็นทางการผ่านทางโทรทัศน์ แต่ใช้วิธีการเรียกตัวผ่านทางโทรศัพท์ และประชาชนยังคงถูกจับกุมและดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องโดยหลายครั้งการจับกุมนั้นผิดกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล

วันที่ 18 พฤษภาคม 2559 ศูนย์ทนายความฯ  ได้รับจดหมายจาก กสม. แจ้งผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีที่ศูนย์ทนายฯ ภาคประชาสังคม และประชาชน ขอให้ กสม. ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายหลังรัฐประหารโดย กสม. มีรายงานผลการพิจารณาที่ 1270 – 1294/2558 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเป็นผู้พิจารณา ซึ่งแบ่งประเด็นออกเป็น 6 ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1 การบังคับใช้กฎอัยการศึกมีความเหมาะสม และเป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่

ประเด็นที่ 2 การเรียกบุคคลไปรายงายตัวโดยอาศัยอำนาจตามประกาศ คสช. และกฎอัยการศึกในการขยายระยะเวลาการควบคุมตัวเป็น 7 วัน มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ประเด็นที่ 3 การจับกุมผู้ต้องหาในคดีอาญาหรือการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกมีพฤติการณ์ซ้อมทรมานอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงหรือไม่

ประเด็นที่ 4 การดำเนินคดีกับพลเรือนในเขตอำนาจศาลทหารเป็นการละเมิดสิทธิทางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่

ประเด็นที่ 5 การใช้กฎอัยการศึกในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพในการชุมนุม มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ประเด็นที่ 6การใช้กฎอัยการศึกในการจำกัดสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การปฏิรูปพลังงานในประเทศไทย เป็นการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

จากการพิจารณาดำเนินการ ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การบังคับใช้กฎอัยการศึกมีความเหมาะสม และเป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้อง ระบุว่า การควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ปกปิดสถานที่คุมตัว ไม่เปิดเผยให้ครอบครัวทราบ ไม่ได้รับอนุญาตให้พบทนายความ บุกค้นบ้าน ยึดและค้นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมถึงการออกหมายจับ เพื่อถอนหนังสือเดินทาง จำกัดการชุมนุมต่าง ๆ และกำหนดให้พลเรือนต้องอยู่ในอำนาจการพิจารณาคดีของศาลทหาร

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่เข้าข่ายเป็นการทรมาน การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีอย่างน้อย 7 กรณี

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พันเอก วิจารณ์ จดแตง และพันเอก สัญชัย บูรณะสัมฤทธิ์ ชี้แจงว่า การบังคับใช้กฎอัยการศึกมีความจำเป็น เนื่องจากสังคมมีปัญหาความขัดแย้งสะสมมาหลายปีหากไม่เข้ามาดำเนินการจะต้องมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตั้งแต่ปลายตุลาคม 2556 ถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2557 มีการใช้อาวุธสงครามร้ายแรง ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นกฎอัยการศึกจึงเป็นมาตรการที่จำเป็น เพื่อควบคุมสถานการณ์ แม้นานาชาติจะไม่ให้การยอมรับ แต่ก็จำเป็นสำหรับประเทศไทย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะเกิดความเสียหายต่อประเทศไทยอย่างมาก

อย่างไรก็ดี การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จะเป็นไปตามนโยบายของ คสช. หรือผู้บัญชาการทหารบก คือ ใช้กฎอัยการศึกเท่าที่จำเป็น เน้นการประนีประนอม การแสดงความคิดเห็นสามารถใช้ช่องทางของศูนย์ดำรงธรรมได้

ข้อเท็จจริงจากการพิจารณา

คณะอนุกรรมการฯ แบ่งออกเป็น 3ประเด็นคือ (1) ความเป็นมาของประกาศกฎอัยการ (2) เจตนารมณ์ของกฎอัยการศึก และ (3) สถานการณ์ฉุกเฉินภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ

ในประเด็นแรก อนุกรรมการฯ ได้อ้างการชุมนุมทางการเมืองในปลายปี 2556 ว่า ความรุนแรงยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีท่าทีว่าจะเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดเหตุการณ์จลาจล วันที่ 20 พฤษภาคม 2557 จึงได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้ง กอ.รส. ควบคุมสถานการณ์ให้ยุติการชุมนุม ต่อมามีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แล้วประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ในมาตรา 4 ต่อมา 1 เมษายน 2558 ได้ประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร แต่ในวันเดียวกันมีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่หัวหน้า คสช. อย่างกว้างขวาง

ในประเด็นที่สอง กฎอัยการศึกมีเจตนารมณ์เพื่อให้เป็นเครื่องมือ ในการที่จะรองรับอำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่จะรักษาความมั่นคงของประเทศชาติเมื่อยามคับขันและจำเป็นที่ไม่อาจใช้หน่วยงานของฝ่ายพลเรือนได้ ซึ่งกฎอัยการศึกเป็นกฎหมายพิเศษที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต จำต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนลงบ้าง เพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักร

ส่วนในประเด็นที่สาม ประเทศไทยมีพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) โดยจะต้องให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชน แต่อาจรอนสิทธิได้ หากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างถูกต้องเหมาะสม และแสดงให้เห็นว่าไม่มีมาตรการเบากว่านี้ที่จะสามารถตอบโต้ภัยคุกคามที่เผชิญอยู่ได้ แต่ไม่สามารถรอนสิทธิในชีวิตร่างกายได้

ประเด็นที่ 2 การเรียกบุคคลไปรายงายตัวโดยอาศัยอำนาจตามประกาศ คสช. และการบังคับใช้กฎอัยการศึกในการขยายระยะเวลาการควบคุมตัวเป็น 7 วัน มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้อง ในประเด็นการเรียกรายงานตัวมี 3 กรณีคือ นางสาวจิตรา คชเดช นายปวินชัชวาลพงศ์พันธ์ และกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ร้องเรียนว่าถูกออกหมายจับ ยกเลิกหนังสือเดินทาง ต้องไปรายงานตัวที่ค่ายทหาร ในประเด็นการควบคุมตัว 7 วันมี 6 กรณีที่ถูกบุกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่จำนวนมาก มีการยึด ค้น แจ้งความดำเนินคดี

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติพันโท บุรินทร์ ทองประไพ ได้ชี้แจงในประเด็นการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกว่า ไม่เหมือนการควบคุมตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั่วๆไป ซึ่งการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกเป็นไปเพื่อสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องที่ คสช. สงสัย ตามกฎอัยการศึก ไม่มีบทลงโทษ แต่เป็นเพียงการสอบสวนไปหาความผิดอื่น แล้วจึงแจ้งข้อกล่าวหาและลงโทษตามกฎหมายอาญา

2.3 ข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายประสิทธิพร เวทย์ประสิทธิ์ ผู้แทนกรมการกงสุล ได้ชี้แจงกรณีการเพิกถอนหนังสือเดินทางของผู้ที่ไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ว่าเป็นการปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกันในคดีอื่นๆ คือ กรมการกงสุลจะต้องได้รับหนังสือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจ้งว่าศาลได้ออกหมายจับกรณีหลบหนีการจับกุมตัว และขอให้ดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทาง ซึ่งไม่ต้องแจ้งให้เจ้าของหนังสือเดินทางทราบ เนื่องจากไม่รู้ว่าหลบหนีอยู่ที่ใด ไม่ได้เลือกปฏิบัติเฉพาะแต่กรณีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. หากบุคคลผู้ที่ถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทย สามารถดำเนินการได้โดยไปที่สถานทูต เพื่อขอออกหนังสือสำหรับเดินทางกลับไทยได้

ประเด็นที่ 3 การจับกุมผู้ต้องหาในคดีอาญาหรือการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก มีพฤติการณ์ซ้อมทรมานอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงหรือไม่

ข้อเท็จจริงจากการพิจารณาศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รวบรวมข้อร้องเรียนว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการทรมาน ในระหว่างควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกอย่างน้อย 7 กรณี โดยอนุกรรมการฯ ได้เข้าเยี่ยมผู้ร้องเรียนบางราย เช่น

นายชัชวาล ปราบบำรุง ได้ให้ถ้อยคำว่า ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวโดยมัดมือ ปิดตา ควบคุมตัวไว้ที่ค่ายทหารไม่ทราบชื่อ มีการข่มขู่เอาชีวิตตนเองและครอบครัว ซ้อมทรมานด้วยการทำร้ายร่างกาย ช๊อตด้วยกระแสไฟฟ้า เอาถุงพลาสติกคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจ เป็นต้น

นายณรงค์ศักดิ์ พลายอร่าม ได้ให้ถ้อยคำว่า ระหว่างถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร เจ้าหน้าที่ซ้อมทรมานให้รับสารภาพ ไม่ได้พบญาติ ถูกใส่กุญแจมือตลอดเวลา มีการนำไฟฟ้ามาช๊อตเพื่อข่มขู่ เมื่อตอบคำถามเจ้าหน้าที่ช้าจะถูกทำร้าย

นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี ได้ให้ถ้อยคำว่า สารภาพยอมรับผิดเนื่องจากถูกซ้อมทรมาน ถูกทำร้ายตามเนื้อตัวร่างกาย ถูกนำถุงพลาสติกคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจ ถูกข่มขู่ว่าจะช๊อตไฟฟ้า

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติพันเอก วิจารณ์ จดแตง ชี้แจงว่า การนำตัวผู้กระทำความผิดไปซักถามเป็นการปฏิบัติตามกฎอัยการศึกและไม่สามารถปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้ โดยใช้วิธีการเชิญตัวมาซักถาม หาความเกี่ยวโยงถึงเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น มีการแยกผู้ต้องหาชายหญิงออกจากกันชัดแจน โดยผู้ชายจะถูกควบคุมตัวไว้ในค่ายทหาร ส่วนผู้หญิงจะถูกควบคุมตัวไว้ที่หมวดสารวัตรทหารหญิง และระหว่างการซักถามจะไม่มีการทำร้ายหรือขู่เข็ญใดๆ

ผู้ถูกควบคุมตัวยังมิใช่ผู้ต้องหาตามกฎหมายซึ่งหากในการซักถาม มีทนายความอยู่ด้วยก็จะให้คำแนะนำ ทำให้ไม่ได้ข้อมูลหรือผลอะไร เนื่องจากซักถามในประเด็นความมั่นคง อีกทั้งชุดปฏิบัติการด้านต่างๆ ของ คสช. เป็นชุดปฏิบัติการลับด้านการข่าว หากเกิดความไม่ถูกต้อง หัวหน้าชุดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ประเด็นที่ 4 การดำเนินคดีกับพลเรือนในเขตอำนาจศาลทหารเป็นการละเมิดสิทธิทางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้อง ได้ความว่า ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งพิจารณาลับ ในคดีหมิ่นกษัตริย์ (112) ที่พลเรือนเป็นจำเลยโดยไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งสองเคยฝากขังด้วยอำนาจศาลอาญา ก่อนจะโอนย้ายมาฝากขังด้วยอำนาจศาลทหาร และถูกฟ้องต่อศาลทหาร

ส่วนอีกกรณีหนึ่งผู้ร้องมีเอกสารชี้แจงว่า การแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง การพิจารณาคดีในศาลทหารไม่มีความเป็นอิสระ เนื่องจากศาลทหารขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม ความไม่เป็นธรรมและไม่เป็นกลางในการอำนวยความยุติธรรม กระบวนการพิจารณาไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม

นอกจากนี้ ผู้ร้องไม่ได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการต่อสู้คดีโดยปราศจากเหตุผล เช่น อ้างว่าจะมีการหลบหนี ทั้งที่ไม่มีการไต่สวนพยานหลักฐาน ไม่มีหลักประกันการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย การนำผู้ร้องหรือผู้อื่นซึ่งเป็นพลเรือนไปให้ศาลทหารพิจารณาคดีถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนกรมพระธรรมนูญศาลทหาร พันโท  พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ได้ชี้แจงว่า กระบวนการยุติธรรมในศาลทหารถือปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พิจารณาคดีด้วยความโปร่งใส ผู้พิพากษามีความเป็นอิสระและไม่มีใครจะมาสั่งคดีได้ การสั่งพิจารณาลับในศาลทหารเหมือนกับการสั่งพิจารณาลับในศาลยุติธรรม เหตุในการสั่งการพิจารณาคดีเป็นการลับมีหลักเกณฑ์ คือ เป็นคดีที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี หรือขัดต่อความมั่นคงของรัฐ หรือโจทก์ร้องขอให้พิจารณาลับ

ในห้องพิจารณาคดีของศาลทหารรับได้จำนวนจำกัดประมาณ 30 คน บางคดีมีหน่วยงานจากต่างประเทศ ผู้แทนประเทศต่างๆ ผู้แทนผู้สื่อฯ ขอเข้าเพื่อการรับฟังการพิจารณาคดีซึ่งศาลทหารก็ไม่เคยปิดกั้นและให้เข้าทุกครั้ง การพิจารณาคดีเป็นไปโดยเปิดเผย เว้นแต่พิจารณาคดีเป็นการลับในคดี 112 ที่เป็นการกล่าวอ้างหรือคำพูดหมิ่น โดยกฎหมายบัญญัติเช่นใด ผู้พิพากษาก็ต้องทำตามนั้น ไม่มีนโยบายใดๆ

กรณีการปล่อยตัวชั่วคราวในศาลทหาร เป็นดุลพินิจของศาลทหารในการพิจารณา ศาลทหารไม่มีคำสั่งที่เป็นนโยบายไม่ให้ประกันตัวแต่ประการใด

ประเด็นที่ 5 การใช้กฎอัยการศึกจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพในการชุมนุม มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ประเด็นย่อยที่หนึ่งเรื่องการจัดกิจกรรมทางวิชาการ ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้องกรณีการถูกห้ามจัดกิจกรรมทางวิชาการที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ถูกห้ามจัดงานเสวนาห้องเรียนประชาธิปไตย : บทที่ 2 การล่มสลายของเผด็จการในต่างประเทศ และ เสวนาความสุขและความปรองดองภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พันเอก วิจารณ์ จดแตง และ พันโท บุรินทร์ ทองประไพ ชี้แจงว่าเป็นการขอความร่วมมือ การจัดกิจกรรมด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยนั้นสามารถทำได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศไทยอยู่ในระหว่างดำเนินการแบบพิเศษ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและสร้างความปรองดองเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและด้านจิตวิทยา เมื่อประเทศเดินไปข้างหน้าแล้ว สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ก็ย่อมสามารถดำเนินการต่อไปได้

นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสื่อหลายครั้งแล้วว่าในช่วงเวลานี้ขอให้ระงับไว้ก่อนอย่าเพิ่งเรียกร้องสิทธิที่จะแสดงออก อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก ซึ่งจะเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาตาม Road map ซึ่งฝ่ายทหารต้องเข้าไปชี้แจงและทำความเข้าใจ หากเป็นหัวข้อที่ล่อแหลมอาจสร้างความขัดแย้งหรือกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยอาจนำมาโต้แย้งหรือนำไปเป็นเยี่ยงอย่าง จะทำให้เกิดปัญหาได้เรื่องการจัดกิจกรรม คสช. ไม่ได้ปิดกั้น สามารถร้องขอและขออนุญาตจาก คสช. ได้ โดยจะมีคณะกรรมการพิจารณาว่าสมควรที่จะให้จัดกิจกรรมหรือไม่

ถ้าเป็นหน่วยงานของรัฐ เช่น คณะหรือมหาวิทยาลัย ถ้าเกี่ยวข้องกับทางวิชาการและกระทบต่อการเมือง ทาง คสช. ได้เปิดช่องทางไว้ในการร่วมเสวนา เมื่อมีการเปิดเวที ก็สามารถเข้าไปร่วมได้ อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่จำเป็นต้องมาจัดงานให้ล่อแหลม หรือทำให้เกิดปัญหา

ประเด็นย่อยที่สอง เรื่องการแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มนักศึกษาข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้องมีกรณีที่กลุ่มดาวดินแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการใส่เสื้อไม่เอารัฐประหารและชูสามนิ้วขณะที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ในจังหวัดขอนแก่น กรณีเหตุการณ์ครบรอบ 1 ปี การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและควบคุมตัวด้วยการใช้ความรุนแรง กรณีการควบคุมตัว 14 นักศึกษาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ถูกร้องผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ประสงค์ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อกรณีที่เกิดขึ้น

ผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พันเอก นุรัช ทองแก้ว ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ว่า การจับกุมมีเพียงฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายปฏิบัติ ทางทหารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ส่วนคำถามว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่นั้น ไม่ทราบแน่ชัด ส่วนประเด็นความผิดในเชิงสิทธิเสรีภาพไม่ควรขึ้นศาลทหาร ไม่สามารถตอบได้ ส่วนในเรื่องข้อกฎหมาย ให้สอบถามเป็นหนังสือทาง คสช. ยินดีชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ขอยืนยันว่า คสช. ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและศึกษากฎหมายอย่างดีแล้ว กรณีอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทหารแต่งกายเต็มยศไปเยี่ยมผู้ปกครองของนักศึกษาถึงบ้าน ก่อนนักศึกษาถูกจับมีทหารนอกเครื่องแบบสะกดรอยติดตาม ยืนยันว่าทหารไม่เกี่ยวข้อง และเป็นทหารจริงหรือไม่นั้น ยังพิสูจน์ไม่ได้

ข้อเท็จจริงจากการพิจารณาดำเนินการคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ได้เข้าเยี่ยมเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงจากนักศึกษา สาระสำคัญดังนี้ กลุ่มนักศึกษาไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร การกระทำของนักศึกษาสามารถทำได้ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองนักศึกษาให้ข้อมูลว่าในชั้นศาลทหาร ตุลาการศาลทหารไม่ได้เขียนในสิ่งที่นักศึกษาพูด ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ

ข้อเท็จจริงและความเห็นจากพยานผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร. กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าการใช้ประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 ประกาศ คสช. 7/2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 บังคับใช้กฎหมายอย่างสับสนโดยคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 มีผลยกเลิกกฎหมายเก่า ทำให้ต้องขึ้นศาลยุติธรรม แต่ในกรณีนี้นักศึกษาถูกดำเนินคดีตามมาตรา 116 ของกฎหมายอาญาด้วย ซึ่งอยู่ภายใต้ศาลทหาร หากศาลเห็นว่าพฤติการณ์ของนักศึกษาเข้ามาตรา 116 ที่กำหนดโทษหนักกว่าความผิดจากการชุมนุมก็ต้องขึ้นศาลทหาร แต่หากไม่ถึงขั้น 116 ก็ขึ้นศาลยุติธรรม

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากประกาศของ คสช. แล้ว ก็เห็นว่ามีเจตนาให้ขึ้นศาลยุติธรรมปกติ แต่เจ้าพนักงานซึ่งไม่มีแนวปฏิบัติ ต้องการความสะดวกรวดเร็ว และมีอำนาจมากในการควบคุมคดีก็จะพยายามกล่าวหาความผิดรุนแรงขึ้น กสม. ควรทำความเข้าใจกับ คสช. ว่าการกระทำระดับใดควรอยู่ในอำนาจศาลทหารเพื่อป้องกันความขัดแย้งและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความ และอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ให้ความเห็นว่า การตั้งข้อกล่าวหา เกี่ยวกับการจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่ทำผิดประมวลกำหมายอาญา มาตรา 116 และขัดคำสั่ง คสช. ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คนนั้น หากดูตามพฤติการณ์มาเทียบเคียงกับความผิดตามข้อกล่าวหาแล้ว ยังเห็นว่าไม่มีข้อใดที่เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด เพราะเป็นการแสดงออกตามวาระทางการเมือง ส่วนที่ระบุว่านักศึกษามีคนเสื้อแดง หรือขั้วอำนาจเก่าอยู่เบื้องหลัง ถ้าเป็นจริงเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่จะต้องพิสูจน์หาข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ยืนยันได้แล้วเสียก่อนจึงค่อยตั้งข้อหาไม่ใช่ดำเนินการด้วยข้อสันนิษฐาน

ประเด็นที่ 6 การใช้กฎอัยการศึกในการจำกัดสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การปฏิรูปพลังงานในประเทศไทย เป็นการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้องกรณีกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทยกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตกรณีความรุนแรงปี 2553 เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่แบไรท์ จัดกิจกรรมแล้วถูกควบคุมตัว โดยมีทั้งควบคุมตัวในห้องขัง ควบคุมตัวโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา รวมถึงดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 หรือเชิญตัวไปเจรจาปรองดองเพื่อให้ยกเลิกการรวมกลุ่มคัดค้าน

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติพันเอกวิจารณ์ จดแตง และพันโท บุรินทร์ ทองประไพ ชี้แจงว่า เนื่องจากปัจจุบันเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ในกรณีประชาชนมีความเห็นต่าง ผู้บังคับบัญชาจะมีช่องทางให้สามารถแสดงออก เสนอความคิดเห็นได้ ฉะนั้น การมาแสดงออกโดยการเดินบนถนนหรือที่สาธารณะ หรือโปรยใบปลิว และทำกิจกรรมนั้น ผู้อื่นอาจมองว่าประเทศยังมีความขัดแย้งอยู่รวมทั้งอาจมีผู้ฉวยโอกาสก่อความไม่สงบขึ้นมาอีก เจ้าหน้าที่จึงมีหน้าที่จะต้องยุติการกระทำดังกล่าว และอาจเชิญตัวไปเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจว่ามีช่องทางแสดงความคิดเห็นอยู่ เมื่อเข้าใจแล้วจะไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใด ก็ให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เว้นแต่ข้อจำกัดของกฎหมาย ซึ่ง คสช. ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นผ่านทางศูนย์ดำรงธรรมได้ แต่ขอให้ไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ในการปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้  เพียงแค่จำกัดพฤติกรรมร้องเรียนที่ไม่เหมาะสม

ส่วนในกรณีเหมืองแร่แบไรท์ พันเอก ชาญวิทย์ ปิ่นมณี ได้ชี้แจงว่า เจ้าของเหมืองแร่และบิดาของผู้เสียชีวิตเป็นเพื่อนร่วมทำกิจการมาด้วยกัน แต่มีเรื่องผิดใจกันจึงเกิดการคัดค้านฟ้องร้องกัน ทาง กอ. รมน. จึงเข้าไปเพื่อสร้างความปรองดองตามนโยบายของกองทัพ การขอให้ถอนฟ้องนั้นเป็นข้อเสนอของกำนันในพื้นที่ ทางกอ. รมน. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในส่วนของคดีความเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามอยู่และรับว่าจะเร่งรัดดำเนินการให้

ความเห็นคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

1. ประเด็นการบังคับใช้กฎอัยการศึกในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2556 ถึงต้นพฤษภาคม 2557 รับฟังได้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกินกว่าขอบเขตของการใช้เสรีภาพของการชุมนุม ฉะนั้น การประกาศใช้กฎอัยการศึก ในระยะเวลาดังกล่าวในการรักษาความมั่นคงพอรับฟังได้

แต่ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พบว่า ใช้กฎอัยการศึกเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่สะสมมายาวนานในบริบทการสร้างความปรองดอง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกรายงานตัว การควบคุมตัว การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เห็นว่า การบังคับใช้กฎอัยการศึกจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า สถานการณ์ในช่วงหลังรัฐประหาร ยังไม่ปรากฏภาวะฉุกเฉินสาธารณะที่คุกคามความอยู่รอดของชาติให้เห็นเป็นประจักษ์ การบังคับใช้กฎอัยการศึก หรือกฎหมายอื่นใดเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เกินกว่าความจำเป็น ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ

2.ประเด็นการเรียกบุคคลไปรายงานตัวและการบังคับใช้กฎอัยการศึกในการขยายระยะเวลาควบคุมตัวเป็น 7 วันเป็นการไม่เหมาะสม ในการจำกัดสิทธิบุคคลที่ถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ ขัดกับข้อ 9 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ. ศ. 2550

คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า การควบคุมตัวไม่มีการตรวจสอบโดยศาล การแก้ไข้ความขัดแย้งทางการเมืองย่อมต้องใช้มาตรการทางการเมือง ส่วนผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต้องใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องตัดสิน

3. ประเด็นการจับกุมผู้ต้องหาในคดีอาญาหรือการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกมีพฤติการณ์เป็นการซ้อมทรมานคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงทางการแพทย์และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สามารถระบุยืนยันได้ว่ามีการซ้อมทรมานเกิดขึ้น ประกอบกับการตรวจสอบไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เนื่องจากอุปสรรคในการเข้าถึงพยานหลักฐานในระยะเวลาที่เหมาะสมและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ให้ข้อสังเกตว่าพฤติการณ์การควบคุมตัวเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยไม่เปิดเผยสถานที่ และไม่ให้บุคคลใดเข้าพบ ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการถูกซ้อมทรมาน

4. ประเด็นการดำเนินคดีกับพลเรือนในเขตอำนาจศาลทหาร เป็นการละเมิดสิทธิทางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ กรณีนี้ได้มีหนังสือสำนักเลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ คสช, (สลธ)/38 เรื่อง ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีสาระสำคัญว่าประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 เรื่องความผิดที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร ยังมีเหตุผลและความจำเป็นที่ยังจะต้องคงอยู่ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์และความมั่นคงของประเทศ

อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าประเทศไทยมีพันธกรณีตามข้อ 14 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งรับรองสิทธิการได้รับการดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม และควรตระหนักถึงหลักการสากลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมของศาลทหาร ซึ่งวางหลักไว้แล้วว่า ศาลทหารไม่ควรมีเขตอำนาจในการดำเนินคดีกับพลเรือน

5. ประเด็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพในการชุมนุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าเสรีภาพดังกล่าวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ที่ประชาคมโลกให้การยอมรับ รัฐควรมีหน้าที่ส่งเสริม ไม่ควรปิดกั้นการใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวโดยสิ้นเชิง อีกทั้งกฎหมายทั่วไป ก็สามารถดูแลการชุมนุมได้อย่างมีประสิทธิภาพและสงบเรียบร้อย และการชุมนุมทางการเมืองก็ต้องใช้วิธีการแก้ไขทางการเมือง กล่าวคือ การพูดคุย ปรึกษาหารือ แต่มาตรการที่ใช้กำลังความรุนแรงหรือกฎหมายความมั่นคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้

6. การจำกัดสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การปฏิรูประบบพลังงานในประเทศไทย รัฐบาลปิดกั้นการเคลื่อนไหวของประชาชนด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคง โดยไม่แก้ไขความเหลื่อมล้ำอันเป็นสาเหตุแท้จริงของปัญหา ย่อมเป็นอุปสรรคในการปฏิรูปประเทศไทยและจะยิ่งขยายความขัดแย้งออกไปอย่างกว้างขวาง ทำลายเป้าหมายความปรองดองสมานฉันท์และคืนความสุขให้กับประชาชนในที่สุด

ดังนั้น คณะอนุกรรมจึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อคณะรัฐมนตรี

ความเห็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพิจารณาคำร้องและความเห็นของคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง มีความเห็นสอดคล้องกัน และมีข้อเสนอแนะทางนโยบายดังนี้

1. คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษเกี่ยวกับความมั่นคง หรือกฎหมายที่มีลักษณะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขว้าง และจำต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วน โดยกระทำเท่าที่จำเป็น และไม่กระทบกระเทือนถึงสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้น

2. คณะรัฐมนตรีควรกำชับและดูแลหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมายความมั่นคง รวมถึงสาระสำคัญตามพันธกรณีระหว่างประเทศ คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให้สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ นิติธรรม

ทั้งนี้ เพื่อปฏิรูปประเทศ และเพื่อให้เกิดการปรองดอง ในอันที่จะลดเงื่อนไขต่าง ๆ ลงสมควรพิจารณาถึงประกาศและคำสั่ง คสช. ที่กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพในสาระสำคัญ เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

มติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ตามการประชุมครั้งที่ 41/2558 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2558 มีมติให้เสนอแนะเชิงนโยบายต่อคณะรัฐมนตรีและมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติติดตามผลการดำเนินการต่อไป

อ่านรายงานการตรวจสอบ กสม ได้ที่
https://tlhr2014.files.wordpress.com/2016/06/nhrc-report.pdf

จดหมายปะหน้า
https://tlhr2014.files.wordpress.com/…/cover-nhrc-report.pdf

Police decided to file the case against the NDM’s attorney with the public prosecutor for preventing car search, the indictment decision by the prosecutor to be announced later pending the request from the attorney to have more witnesses examined

photo_2016-05-12_17-23-32

Ms. Sirikan Charoensiri(middle) with representatives from the International Commission of Jurists (ICJ) , representatives from the Swedish Embassy to Thailand and her legal team.

On 12 May 2016, the Thai Lawyers for Human Rights (TLHR)’s attorney, Ms. Sirikan Charoensiri, has met with the public prosecutor at the Department of Summary Litigation 3 (Dusit), Bangkok, in a case she is alleged to have concealed the evidence and have disobeyed the order of the competent official after being instructed to do so, the violation of the Penal Code’s Section 142 (imprisonment not exceeding three years) and Section 368 (imprisonment not exceeding one month). Previously, the inquiry official has concluded the investigation and decided to press ahead with charging her. The public prosecutor has decided to reschedule the meeting to 27 July 2016 at 9.30 to let her know if the case will be indicted or not, pending the examination of more witnesses.

Around 11.30, while reporting herself, Ms. Sirikan has submitted a letter of petition to the public prosecutor describing circumstantial evidence and legal opinion that the police officials attempted to search her car on after midnight on 27 June 2015 without a court warrant and that the acting police officials did not have power and authority in the location where the alleged crime happened. As a result, Ms. Sirikan had file a police complaint against the police officials for abusing their office in violation of Section 157 of the Penal Code (malfeasance in the office) after they tried to conduct a warrantless search and had impounded her car over night. If the accused found to be guilty per the malfeasance charge, it would prove that Ms. Sirikan had not committed the offence as alleged. In addition, the legal action against her has originated from her performing the duty to protect the rights of her clients. And such legal action will simply do disservice to the country’s image. In her letter of petition, she also asked for more witnesses to be examined including members of the New Democracy Movement (NDM), her clients, Ms. Sirikan herself, Ms. Yaowalak Anuphan, the Head of the Thai Lawyers for Human Rights (TLHR) and the inquiry official who had received the case reported by her for accusing that the police had committed malfeasance.

In addition, representatives from the International Commission of Jurists (ICJ) in Thailand including Mr. Sam Zarifi and, representatives from the Swedish Embassy to Thailand were also present to observe the procedure. According to them, the case has drawn much attention at the international level since it involves the performance of duties of attorney who acts to defend the right to judicial system.

Meanwhile, the public prosecutor of the Department of Summary Litigation 3 (Dusit), Mr. Panupong Charoenying, had explained to the observers that initially, the public prosecutor has to determine as to which jurisdiction of the Court this case belongs. Then they will look into the facts and legal issues per the investigation report and the letter of petition. The case shall be handled by a team led by him. Nevertheless, this case is an important case according to the regulation of the Office of the Attorney General. Therefore, the person who will have the final decision about the indictment of the case shall be the Director General of the Department of Summary Litigation and the announcement of the decision concerning the indictment shall be made on 27 July 2016 at the Department of Summary Litigation 3 (Dusit). Meanwhile, more witnesses shall be examined by the public prosecutor. And the indictment has to be made at the approval of the Attorney General.

Ms. Sirikan Charoensiri is a lawyer from the Thai Lawyers for Human Rights and one of the legal representatives for the 14 activists from the New Democracy Movement (NDM). On the night of 26-27 June 2015, after finishing her duty of providing legal assistance to the 14 activists at the Bangkok Military Court, Sirikan was requested by police officials to search her car to confiscate some mobile phones, which the students left with the lawyers before being brought to the prisons. Sirikan refused to let her car be searched, since the officials did not present a search warrant, and there was no justifiable evidence to conduct the search without a warrant at night. The officials then impounded her car overnight, and brought a court warrant to conduct the search on 27 June 2015. Sirikan later filed a complaint of malfeasance, under Section 157 of the Thai Criminal Code, against Pol.Lt. Gen. Chayapol Chatchayadetch and others for illegally impounding her car. Consequently, the police filed complaints against her, accusing her of refusing to comply with an official order without any reasonable cause or excuse after being informed of an order of an official given according to the power invested by law, and an offence of concealing or making away of property or document ordered by the official to be sent as evidence or for execution of the law, under Sections 368 and 142 of the Thai Criminal Code, and an offence of giving false information concerning a criminal offence to an inquiry official to subject an individual to a punishment under Sections 172 and 174 of the Criminal Code.At this time, Ms. Sirikan is not charged by police with two offences of filing a false police report. However, it is probable that the police will summon her to inform the charges again.

 

More information

 

ตร.มีความเห็นสั่งฟ้องทนาย NDM คดีไม่ยอมให้ค้นรถ อัยการนัดฟังคำสั่ง 27 ก.ค. หลังทนายขอความเป็นธรรมให้สอบพยานเพิ่ม

 

photo_2016-05-12_17-23-32

นางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ(กลาง)พร้อมคณะทำงานและผู้สังเกตการณ์จากคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล                                               และเจ้าหน้าที่สถานทูตสวีเดน ประจำประเทศไทย

วันนี้ (12 พฤษภาคม 2559 ) นางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าพบพนักงานอัยการที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 (ดุสิต) ในคดีซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานซ่อนเร้นพยานหลักฐานและและทราบคำสั่งเจ้าพนักงานแล้วไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามมาตรา 142 (โทษจำคุกสูงสุดไม่เกินสามปี)  และมาตรา 368 (โทษจำคุกสูงสุดไม่เกินหนึ่งเดือน)ประมวลกฎหมายอาญา  เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนและมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว พนักงานอัยการเลื่อนไปนัดฟังคำสั่งในวันที่ 27 กรกฎาคม เวลา 9.30 น.เพื่อทำการสอบพยานเพิ่มเติม

เวลาประมาณ 11.30 น. ขณะรายงานตัวนางสาวศิริกาญจน์ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ โดยหนังสือขอความเป็นธรรมได้เสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเข้าตรวจค้นรถของนางสาวศิริกาญจน์ในคืนวันที่ 27 มิถุนายน 2558 โดยไม่มีหมายค้นและความยินยอมนั้นไม่ได้มีอำนาจสอบสวนในพื้นที่ที่เกิดเหตุ อีกทั้งยังทราบดีว่าตนไม่มีอำนาจจะกระทำการดังกล่าว ซึ่งนางสาวศิริกาญจน์ได้แจ้งความร้องทุกข์แล้วว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำการละเมิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา และหากมีการสอบสวนพบว่าผู้กล่าวหาได้กระทำผิดจริง ย่อมแสดงว่านางสาวศิริกาญจน์ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด รวมถึงการดำเนินคดีกับนางสาวศิริกาญจน์ซึ่งถูกตั้งข้อหาจากการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องสิทธิของลูกความ ยังจะทำให้กระทบกระเทือนถึงภาพลักษณ์และผลประโยชน์ของประเทศ   นอกจากนี้หนังสือขอความเป็นธรรมยังขอให้มีการสอบสวนพยานเพิ่มเติม คือ สมาชิกกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ที่เป็นลูกความของนางสาวศิริกาญจน์ นางสาวเยาวลักษ์  อนุพันธุ์  หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และพนักงานสอบสวนที่ได้รับเรื่องแจ้งความร้องทุกข์ของนางสาวศิริกาญจน์ว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ

นอกจากนี้นายแซม  ซาริฟี ตัวแทนจากคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล ในประเทศไทย และเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสวีเดน ประจำประเทศไทยได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในขั้นตอนดังกล่าว ได้ให้ความเห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ได้รับความสนใจในระดับระหว่างประเทศ เพราะเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของทนายความที่ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม

ด้านนายภาณุพงษ์ เจริญยิ่ง อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ ศาลแขวง 3 ได้ชี้แจงกับผู้สังเกตการณ์ว่า ขั้นตอนแรกอัยการต้องพิจารณาก่อนว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลใด  จากนั้นจึงพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามสำนวนและหนังสือขอความเป็นธรรม ซึ่งคดีนี้จะตั้งเป็นคณะทำงานซึ่งจะมีตนเป็นหัวหน้าคณะ  อย่างไรก็ตามคดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญตามระเบียบของสำนักงานอัยการ ดังนั้นคนที่จะพิจารณาความเห็นว่าสั่งฟ้องหรือไม่จะเป็นอธิบดีอัยการศาลแขวง ซึ่งพนักงานอัยการนัดมาฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องอีกครั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม เวลา 9.30 น. ที่สำนักงานอัยการศาลแขวง 3 (ดุสิต) ในระหว่างนี้พนักงานอัยการจะทำการสอบพยานเพิ่มเติม ซึ่งหากอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง จะต้องขออนุญาตอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีก่อน

ทั้งนี้นางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และเป็นหนึ่งในคณะทำงานคดี 14 นักศึกษาขบวนประชาธิปไตยใหม่(NDM) ถูกดำเนินคดีจากการทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในการคัดค้านการฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 14 คนต่อศาลทหารในคืนวันที่ 26-27 มิ.ย.58 ภายหลังจากการพิจารณาในศาลทหารเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าขอค้นรถนางสาวศิริกาญจน์เพื่อยึดโทรศัพท์มือถือของนักศึกษาทั้ง 14 คนซึ่งฝากทีมทนายความไว้ก่อนเข้าเรือนจำ นางสาวศิริกาญจน์ปฏิเสธไม่ให้ค้นรถยนต์เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่มีหมายค้นและปราศจากเหตุอันสมควรที่จะค้นรถได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ทำตรวจได้ยึดรถยนต์นางสาวศิริกาญจน์ไว้ข้ามคืนจนนำหมายศาลมาตรวจค้นในวันที่ 27 มิ.ย.58ภายหลังจากนั้นศิริกาญจน์ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าพล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดชและพวกเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาในการยึดรถไว้ ต่อมาพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี 14 นักศึกษาจึงเข้าแจ้งความว่านางสาวศิริกาญจน์ซ่อนเร้นพยานหลักฐานและทราบคำสั่งเจ้าพนักงานแล้วไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามมาตรา 142 และมาตรา 368 ประมวลกฎหมายอาญา และแจ้งความเท็จตามมาตรา 172 และมาตรา 174 ประมวลกฎหมายอาญา แต่คดีมาตรา 172 และมาตรา 174 นั้นยังอยู่ระหว่างการสอบสวน

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

พนักงานสอบสวนนัดทนายความของสมาชิกประชาธิปไตยใหม่ ส่งตัวให้พนักงานอัยการคดี

ทนายคดี 14 NDM ได้หมายเรียกรับทราบข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานและแจ้งความเท็จ

คกก.นักนิติศาสตร์สากลออกแถลงการณ์ยุติดำเนินคดีทนายคดี14 NDM

คดีกล่าวหาทนาย NDM แจ้งความเท็จ อธิบายไม่ได้ว่าแจ้งความเท็จตรงไหน รอสอบผู้กล่าวหาเพิ่ม

ทนายยื่นหนังสือถึงสภาทนายขอให้ตรวจสอบการคุกคามทนายโดยเจ้าหน้าที่ สภาทนายรับจะนำเข้าที่ประชุม

ความคืบหน้าคดีทนายศิริกาญจน์ เจริญศิริ พนักงานสอบสวนเตรียมส่งสำนวนให้อัยการแล้ว

ทนายความของ NDM เข้าให้การเพิ่มเติมในคดีค้นรถยืนยันว่าการไม่อนุญาตค้นรถชอบด้วยกฎหมาย

พยานอีก 2 เข้าให้การคดีค้นรถทนาย พยานยืนยันไม่ได้ขัดขวางตำรวจค้นรถ แค่ต้องการให้ทำตามกฎหมาย

พนักงานสอบสวนนัดทนายความของสมาชิกประชาธิปไตยใหม่ ส่งตัวให้พนักงานอัยการคดี

วันที่ 27 เม.ย. 59 นางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับหมายเรียกผู้ต้องหาจากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามเพื่อไปพบพนักงานอัยการที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 (ดุสิต) ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 เวลา 10.00 น. ในคดีซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานซ่อนเร้นพยานหลักฐานและและทราบคำสั่งเจ้าพนักงานแล้วไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามมาตรา 142 (โทษจำคุกสูงสุดไม่เกินสามปี) และมาตรา 368 (โทษจำคุกสูงสุดไม่เกินหนึ่งเดือน) ประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้เนื่องจากพนักงานสวบสวนได้สรุปสำนวนและความเห็นเสร็จสิ้นแล้วจึงนัดหมายผู้ต้องหานำส่งตัวพร้อมสำนวนให้พนักงานอัยการในวันดังกล่าว อ่านเพิ่มเติม