แถลงการณ์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ยุติการคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกกิจกรรม “เดินเพื่อสิทธิ ชีวิตคนอีสาน”

แถลงการณ์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ยุติการคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกกิจกรรม “เดินเพื่อสิทธิ ชีวิตคนอีสาน”


ตามที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ติดตามสังเกตการณ์กิจกรรม “เดินเพื่อสิทธิ ชีวิตคนอีสาน” หรือ Walk for Rights ของกลุ่มขบวนการอีสานใหม่ New E-Saan Movement
ซึ่งเป็นกิจกรรมการเดินเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาโดยรัฐในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งตั้งแต่เริ่มกิจกรรมวันที่ 4 มิ.ย.59 ได้มีเจ้าหน้าที่มาติดตามถ่ายภาพการทำกิจกรรมโดยตลอด จนกระทั่งวันที่ 30 มิถุนายน 2559 และขณะทางกลุ่ม พักผ่อนอยู่ในบริเวณวัดเหล่าโดน ตำบลหนองแคน อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบ และฝ่ายปกครองกว่า 20 นาย เข้ามาบังคับไม่ให้ทางกลุ่มนอนพักในพื้นที่ดังกล่าว โดยอ้างอำนาจตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะพ.ศ.2558 พร้อมทั้งสอบถามและบังคับให้แอดมินเพจขบวนการอีสานใหม่ลบคลิปวีดีโอที่เกี่ยวกับการคัดค้านร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ….หากไม่ลบทางกลุ่มจะไม่สามารถเดินทางไปไหนได้


การกระทำดังกล่าวทำให้กลุ่มขบวนการอีสานใหม่ต้องลบคลิปวีดีโอและภาพการเข้ามาเจรจาของเจ้าหน้าที่ทหารออกจากเพจ และเดินทางออกจากที่พักในเวลาประมาณ 18.30 น.ท่ามกลางความมืดโดยไม่มีจุดหมายว่าจะไปพักค้างคืนที่ใด จนทางกลุ่มต้องเดินเท้าออกจากจุดพักเดิมและปักหลักค้างคืนที่โรงพยาบาลราษีไศลในเวลาประมาณ 22.00 น.ห่างจากจุดเดิมเกือบ 10 กิโลเมตร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายปกครองจะบังคับให้ออกจากพื้นที่ตลอดเวลา


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและกระทำไปโดยปราศจากอำนาจตามกฎหมายด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้


1.บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุม โดยสงบ เปิดเผย และปราศจากอาวุธ รวมถึงมีเสรีภาพที่จะแสดงออกรับหรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร อันเป็นสิทธิที่ถูกรับรองไว้ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) กลุ่มขบวนการอีสานใหม่จึงมีเสรีภาพในการชุมนุม แสดงออกและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคลิปวีดีโอดังกล่าวในช่องทางของตน เพื่อเรียกร้องและกำหนดชะตากรรมชีวิตของตนเองตามวิถีทางแห่งระบอบประชาธิปไตย


2.การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่กดดันไม่ให้กลุ่มขบวนการอีสานใหม่พักในพื้นที่ และบังคับให้ลบคลิปวีดีโอในเพจขบวนการอีสานใหม่ ถือเป็นการแทรกแซงการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการละเมิดพันธกรณีตามข้อ 19 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)


3. การบังคับใช้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ต้องบังคับใช้โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่บัญญัติขึ้นมาเพื่อคุ้มครองการใช้สิทธิและเสรีภาพ  ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐจึงมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ชุมนุมไม่ใช่ผลักดันผู้ใช้สิทธิเสรีภาพให้ตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้น การอ้าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เพื่อปิดกั้นมิให้กลุ่มขบวนการอีสานใหม่พักในพื้นที่ดังกล่าวโดยมิได้มุ่งคุ้มครองสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนตามพันธกรณีระหว่างประเทศ จึงเป็นการบังคับใช้ที่ไม่ชอบตามหลักสิทธิมนุษยชน


4.กรณีที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าทางกลุ่มกระทำผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นคำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/58 หรือพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะพ.ศ.2558 เจ้าหน้าที่รัฐก็ยังคงต้องปฏิบัติไปตามขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีกฎหมายฉบับใดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ไล่บุคคลออกจากพื้นที่สาธารณะดังเช่นเหตุที่เกิดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.59 การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นการกระทำโดยอำเภอใจและปราศจากอำนาจทางกฎหมายมารองรับ


ด้วยเหตุดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงขอเรียกร้องให้


เจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองเคารพต่อพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม บังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์และมุ่งคุ้มครองสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน และยุติการใช้อำนาจโดยมิชอบคุกคาม กิจกรรม “เดินเพื่อสิทธิ ชีวิตคนอีสาน” หรือ Walk for Rights ของกลุ่มขบวนการอีสานใหม่ในทันที 


ขอให้สังคมร่วมกันตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ เพื่อถ่วงดุลการใช้อำนาจให้เป็นไปอย่างถูกต้องและชอบธรรม การเคารพซึ่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเท่านั้นที่จะนำมาสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

                                                       ด้วยความเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพ                                                            

                                                        ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

Downlaodแถลงการณ์ได้ที่นี้Windows 7 printed documentแถลงการณ์กรณี Walk For Rights

ไม่ผิดจะกลัวอะไร : “ปราบมาเฟียเพื่อความมั่นคง”

คำสั่ง หน.คสช. “ปราบมาเฟียเพื่อความมั่นคง” Chapter II โดย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 

“เมื่อรั้วของชาติ ทำลายรั้วของประชาชน”

สารคดีว่าด้วยพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ทหารในการควบคุมตัวประชาชนชาวไทยตามอำนาจที่ได้รับมาจากกฎอัยการศึกจนถึงคำสั่งจากหัวหน้า คสช.จริงหรือไม่ที่ทหารกำลังจะปราบมาเฟียตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง

สารคดีชิ้นนี้จะเปิดเผยคำบอกเล่าจากบุคคลที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารจะมาเล่าข้อเท็จจริงโดยละเอียดว่าใครคือ “มาเฟีย” ตัวจริง

พร้อมบทความที่สะท้อนคำบอกเล่าของบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารที่ เป็นการควบคุมตัวโดยอาศัยอำนาจจาก คสช.ที่เป็นเพียงความชอบธรรมเดียว ทำให้ทหารสามารถควบคุมตัวประชาชนได้โดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา ไม่มีหมายจับ ขัดกับหลักประมวลวิธีพิจารณาความทางอาญาและมีเสียงสะท้อนจากองค์กรระหว่างประเทศว่า อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

– การควบคุมตัวตามมาตรา 44

“ผมจะถามคำถามง่าย ๆ แต่ตอบยากแค่นั้นแหละ อย่างเช่นถามว่ามาทำแบบนี้กับไปใช้วิธีดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างไหนถูกต้องกว่า … ถามทุกคนที่มา ถามเจ้าหน้าที่ทุกคน ระหว่างใช้มาตรา 44 กับไม่ใช้มาตรา 44 แล้วทำแบบนี้ได้ไหม…”

คืนวันที่ 9 มี.ค. 2559 สราวุธ บำรุงกิตติคุณ ถูกทหารตำรวจอย่างน้อย 30 นาย ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ควบคุมตัวไปจากห้องที่ทำงาน ใน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมยึดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือของเขา โดยไม่แจ้งสาเหตุให้ทราบ ไม่มีหมายจับหรือแม้กระทั่งหมายค้น

อาศัยแค่อำนาจตามมาตรา 44 เพียงเท่านั้น เขาก็ต้องไปใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในค่ายทหารถึง 8 วัน โดยไม่ได้สมัครใจ หรือกระทำผิดกฎหมายใด

อำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่ว่านี้ ระบุให้ “ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว”

อาจถือได้ว่า อำนาจตามมาตรา 44 ได้ให้อำนาจหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่แทบจะเป็นอำนาจอาญาสิทธิ์ เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด และไร้ซึ่งข้อจำกัด ซึ่งคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่มักถูกเจ้าหน้าที่ทหารนำมาอ้างเพื่อควบคุมตัวบุคคลไว้ในค่ายทหาร ได้แก่ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2559

ทั้งคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และ 13/2559 ให้อำนาจทหารในการตรวจค้น  ยึด  และควบคุมตัวบุคคลไม่เกิน 7 วัน  โดยไม่ต้องมีหมายศาล ใช้เพียงแค่ความสงสัยของทหารเพียงฝ่ายเดียวก็สามารถกระทำการดังที่ว่านี้ได้


– กรณีควบคุมตัวแอดมินเพจเปิดประเด็น

สราวุธ บำรุงกิตติคุณ เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า มีผู้แจ้งว่าเขาเป็นพวกหมิ่นสถาบันและรับจ้างทำเพจการเมือง คือเพจ “เปิดประเด็น” ที่สราวุธทำเป็นงานอดิเรกด้วยตนเองคนเดียว ทำให้เขาถูกควบคุมตัวราวกับเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ตัวเขาเองไม่ชอบเฮทสปีช ไม่ชอบภาพตัดต่อใส่ร้าย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสถาบันหรือไรก็ตาม

คืนที่ถูกควบคุมตัวนั้น เจ้าหน้าที่พาสราวุธไปไว้ที่ค่ายวิภาวดีรังสิต (มทบ.45) ก่อนจะนำตัวขึ้นเครื่องบินมายัง มทบ.11 กรุงเทพมหานคร และถูกกักอยู่ในห้องหน้าต่างปิดทึบ มีทหารเวรคอยเฝ้ากะละสามนาย เขาถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และควบคุมตัวอยู่ที่ มทบ.11 ก่อนจะถูกส่งตัวกลับมาปล่อยที่ จ.สุราษฎร์ธานี ในวันที่ 16 มี.ค. 2559

“เขาก็พยายามโยง เขาคิดว่ามีต้นสาย ก็พยายามจะโยงให้ได้ เรื่องเครือข่าย ด้วยรูปแบบเพจ ด้วยรูปแบบเนื้อหา ด้วยภาษาที่ใช้ มันทำให้นึกว่ามีคนที่มีความรู้สูง ๆ ที่เรียนจบมาทางด้านกฎหมาย ทางด้านอะไรเป็นทีมงานกันหลายคน และมีการจ้างทำกราฟฟิก มีการจ้างทำทุกขั้นตอนอะไรแบบนี้ ภาพมันดูเหมือนว่าทำกันหลายคน ซึ่งจริง ๆ มันทำคนเดียวก็ทำได้ เขาพยายามถามว่ามีใครร่วมขบวนการบ้าง” สราวุธเล่าถึงการสอบสวนภายใน มทบ.11

ถึงจะไม่มีการทำร้ายร่างกายในกรณีของเขา แต่สราวุธก็ยอมรับว่าถูกข่มขู่ และมีความกังวลใจที่ไม่สามารถติดต่อใครได้ในระหว่างนั้น

“แต่ว่าขนาดนั้นมันก็คือการจำกัดสิทธิแล้ว คือการจำกัดความเห็น มีข่มขู่ว่าจะให้ขึ้นศาลทหารอย่างนี้ ผมก็ฟุ้งซ่านไปเยอะ”

เป็นเวลากว่า 8 วัน ที่สราวุธถูกควบคุมตัวไว้ในค่ายทหาร โดยไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้ เช่นเดียวกับที่ญาติและทนายความต่างถูกปฏิเสธไม่ให้ติดต่อกับสราวุธ ในขณะที่โฆษก คสช. ออกมาปฏิเสธผ่านสื่อมวลชนว่า ไม่มีข้อมูลการควบคุมตัวแอดมินเพจเปิดประเด็น

ตลอดระยะเวลา 8 วันนั้น สราวุธกลายเป็นบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหาย หรือ “อุ้มหาย” ซึ่งเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคล ตามมาด้วยการปกปิดสถานที่ควบคุมตัว และปฏิเสธจะทราบชะตากรรมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้บุคคลอยู่ภายนอกการคุ้มครองของกฎหมาย อันเป็นการละเมิดต่อพันธกรณีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญ โดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: CED)

– กรณีควบคุมตัวแกนนำร้องเรียน เรื่องไล่รื้อบ้านเรือนและพื้นที่ประกอบอาชีพประมงริมชายหาด อ.เมือง จ.ระยอง

หลังการควบคุมตัวสราวุธในอีก 20 วันถัดมา เช้ามืดวันที่ 29 มี.ค. 2559 ชาวระยองสามคนถูกทหารควบคุมตัวจากบ้านพักไปยังค่ายนวมินทราชินี (มทบ.14) จ.ชลบุรี

“โอ๊ย! ทำไมมาเยอะแยะ อย่างกับจับเสือ จับโจร ทหารมาเยอะ หลายคัน เป็นแถวเลยตรงหน้าบ้าน ชาวบ้านก็แตกตื่นออกมาดู ก็ตกใจทหารมาเยอะ”ละม่อม บุญยงค์ หนึ่งในผู้ถูกควบคุมตัวเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้น ก่อนที่ตัวเขา อนันต์ ทองมณี และรังสรรค์ ดอกจันทร์ จะถูกพาตัวไปที่ค่ายมหาสุรสิงหนาท (พัน ร.7) ที่ จ.ระยอง แล้วจึงส่งตัวต่อไปยัง มทบ.14 จ.ชลบุรี

“ถามว่ามาเชิญเรื่องอะไร เขาก็บอกว่ามันมีข่าวมาว่าลุง พวกลุงสามคน จะก่อม็อบ ชวนชาวบ้านทั้งหมดก่อม็อบไล่นายอำเภอ ลุงก็งง มันไม่เคยมีความคิดของลุงที่จะไปก่อม็อบอะไรพวกนี้ แล้วชาวบ้านหยิบมือแค่นี้จะไปก่อม็อบทำไม”

เช่นเดียวกับอนันต์ ทองมณี ที่ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ทำอย่างที่ทหารอ้าง “คือกล้าพูดและกล้าแสดงออก กล้ามีจิตอาสาที่จะทำเพื่อชาวบ้าน คือกล้า ถ้าถามว่าจะกล้าไปก่อม็อบนั่นไม่กล้าหรอก บอกท่าน ผบ. ผมไม่ได้คิดทำอะไรท่านไปสืบดูได้ ไปสืบถามชาวบ้านว่า ณ วันนี้ชาวบ้านรวมตัวกันไหม รวมตัวไหม ไม่มี”

แม้ปรากฏข้อเท็จจริงดังว่า แต่ทั้งสามคนก็ต้องถูกควบคุมตัวไว้ที่ มทบ.14 หนึ่งคืน และถูกยึดโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะปล่อยตัวในเช้าวันถัดมาโดยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดตามกฎหมายใด


– การควบคุมตัวที่มีราคาต้องจ่าย

จุดร่วมของสี่คนนี้ คือการถูกจับจากข่าวที่ทหารได้รับ นำตัวพวกเขาไปไว้ในค่ายทหาร และปล่อยตัวออกมาหลังจากพบว่าไม่มีใครทำผิดตามที่ถูกสงสัย

“เรียกว่ามันเกิดความผิดพลาดที่เขา หน่วยข่าวกรองเขา การกรองข่าวเขามันผิดพลาด การกรองข่าวเขาว่าเขาจะต้องได้อะไรที่มันใหญ่โต ได้คนผิดแน่นอนอะไรอย่างนี้ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วเขาไปได้เอาประชาชนธรรมดาที่วิจารณ์รัฐบาลอย่างบริสุทธิ์ใจ สุจริต” สราวุธให้ความเห็น

ไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว เนื้อความที่ผู้นำทหารย้ำผ่านสื่อมวลชนบ่อยครั้งเมื่อถูกถามถึงมาตรการที่นำมาใช้จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนผ่านมาตรา 44 เห็นได้ว่า กรณีตัวอย่างทั้งสี่คนนี้ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และไม่มีการดำเนินคดีทางกฎหมายใด ๆ ตามมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้รับความเสียหายจากการถูกควบคุมตัวในลักษณะนี้

“นอกจากเสียเวลาไป 7-8 วันในการถูกควบคุมตัวแล้วยังต้องมานั่งตั้งสติ เรียกขวัญตัวเองอีก 4-5 วัน แล้วต้องมานั่งเช็คคอมพิวเตอร์อีก 3-4 วันอย่างนี้ กว่าจะเรียกกลับมาได้ก็เสียหายไปเยอะนะ” สราวุธชี้แจงในกรณีของเขา

อดีตแอดมินเพจเปิดประเด็นเล่าว่า คอมพิวเตอร์ของเขาเสียหายในส่วนของเมนบอร์ดและพาวเวอร์ซัพพลาย สายฮาร์ดดิสก์และฮาร์ดดิสก์บางตัวหลุดออกมา คล้ายกับถูกถอดเพื่อรื้อดูข้อมูลในนั้น ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสียหาย อ่านข้อมูลไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเข้ารหัสคอมพิวเตอร์ไว้

นอกจากนี้ เขายังถูกบีบให้ต้องเซ็นยอมรับเงื่อนไขของ คสช. เพื่อจะได้รับการปล่อยตัว ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวระบุว่า จะไม่เดินทางออกนอกประเทศก่อนได้รับอนุญาต ละเว้นการเคลื่อนไหวหรือประชุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ และเมื่อไหร่ที่ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง เขายินยอมที่จะถูกดำเนินคดีและถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน อันเป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 40/2557 ที่เพิ่มเติมคือ สราวุธถูกทหารสั่งให้ปิดเพจเปิดประเด็นอีกด้วย

เช่นกันกับที่ระยอง ละม่อม อนันต์ และรังสรรค์ ถูกห้ามรวมตัวกัน หรือไปปรากฏตัวในที่ชุมนุมของคนจำนวนมาก

“เขาก็บอกสั่งมาว่า ถ้ามานี่แล้วอย่าไปรวมตัวกันอีก อย่าไปอยู่กับคนหมู่มาก ถ้าเขาถ่ายรูปลุงอยู่ในคนหมู่มากอีก เขาจะเชิญมาอีก ทีนี้จะมาอยู่หลายวัน เขาว่าแบบนั้น” ละม่อมเล่าถึงเงื่อนไขการปล่อยตัวที่ถูกกำชับมาจากฝ่ายทหาร

อย่างไรก็ตาม ที่ จ.ระยอง นั้นดูเหมือนการควบคุมตัวและตั้งเงื่อนไขของ คสช. จะยิ่งส่งผลกระทบหนัก เมื่อคนที่ถูกควบคุมตัวไปคือหัวหน้าครอบครัว ผู้มีภาระหน้าที่ดูแลอีกหลายชีวิตในบ้าน

“มาจับผมทำไม ทางนี้ก็เดือดร้อนสิ หมึกก็ไม่มีใครไปซื้อ นั่นก็ไม่มีใครไปซื้อ ตาย มันเดือดร้อนนะ ถ้าอยู่สามวัน ครอบครัวผมจะทำไง มีกินไหม ลูกเต้าจะทำไง เพราะว่าเงินต้องอยู่กับผม ตื่นเช้ามาค่าใช้จ่ายอยู่กับผมหมด ทางนี้จะทำไง เอทีเอ็มก็อยู่กับผมหมด จะทำยังไงทีนี้” อนันต์เล่าถึงความร้อนใจระหว่างถูกควบคุมตัว

นอกจากนี้ ทั้งละม่อม อนันต์ และรังสรรค์ ต่างเป็นกลุ่มชาวประมงเรือเล็กและประกอบอาชีพแปรรูปอาหารทะเลริมชายฝั่ง ซึ่งได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไล่รื้อที่อยู่ของพวกเขาบริเวณชายหาด ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อขอให้รัฐจัดพื้นที่รองรับสำหรับผู้ได้รับผลกระทบเสียก่อน แต่เมื่อมีเงื่อนไขห้ามรวมตัวดังกล่าวแล้ว กระบวนการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างก็เกิดขึ้นโดยที่พวกเขาไม่กล้าคัดค้านอะไรอีกต่อไป


เขาบอกว่าให้ทำตามมติที่ประชุม จับมือทำตามมติที่ประชุมเลย คือรื้อ บอกให้รื้อเลย แล้วห้ามให้เราเข้าไปในที่ที่มีคนมาก ห้ามประชุมชาวบ้านห้ามอะไร เราก็ไม่ทำ เราก็ไม่เคยเข้าไป แม้แต่จะไปงานบวชเขาเรายังไม่ไปเลย กลัวเขาจะมาเชิญเราอีก กลัวเดือดร้อน ไปงานแต่งก็กลัวที่มีคนเยอะ ๆ เพราะเขาห้ามไว้แล้ว” อนันต์เล่าถึงสถานการณ์หลังได้รับการปล่อยตัว

ปัจจุบันนี้ อนันต์อาศัยอยู่ในเพิงผ้าใบที่ทางเทศบาลนำมาตั้งไว้ เนื่องจากบ้านถูกรื้อทำลายตามนโยบายจัดระเบียบชายหาดของ คสช. ซึ่งนโยบายนี้ได้หอบเอาวิสาหกิจชุมชน ต.ปากน้ำ และธนาคารปูหายไปจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บริเวณชายหาดอีกด้วย


จะจัดยังไงก็ให้มีที่รองรับให้กับเรามั่ง ให้คนจน ๆ ระบบรากหญ้าได้มีที่ยืน ได้มีที่ทำกิน ไม่ใช่มารื้ออาชีพดั้งเดิมเขา ไม่ใช่ไม่มีที่รองรับอะไรเขาเลย อย่างนี้มันเดือดร้อนครับ มันเดือดร้อน ถามทุกคนได้ บางคนร้องไห้เลย มีภาพทหารมาหิ้ว ร้องไห้ ก็หมดตัวน่ะ คนเราหมดตัวจะทำไง

วันนี้ผมมาอยู่ตรงนี้ ตามคำสั่งของเทศบาล เขียนไว้ว่าที่รองรับผู้ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบชายหาด ผมก็จำเป็นจะต้องมานั่งกินตรงนี้ นอนกินตรงนี้ เพื่อรออะไร รอให้เขาได้จัดสรร ได้เข้ามาช่วยเหลือ ผมก็อยากรู้ ท่านจะทนเห็นได้ไหมกับคนที่ถูกล้มล้างอาชีพที่ทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายต้องมาเป็นอย่างนี้” อนันต์เปิดปากเล่าท่ามกลางเครื่องเรือนและอุปกรณ์ทำกินกองระเกะรกะภายใต้เพิงผ้าใบที่เปิดโล่งทั้งสี่ด้าน

เวลา สภาพจิตใจ ทรัพย์สิน บ้าน อาชีพ และสิทธิที่จะเรียกร้องชีวิตที่ดีให้แก่ตนเอง คือสิ่งที่เสียหาย หรือถูกทำลายไปหลังการควบคุมตัวทั้งสี่คน ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44

หากไม่ผิดจะกลัวอะไร คงเป็นคำตอบที่ คสช. อยากจะย้ำกับสราวุธ ละม่อม อนันต์ รังสรรค์ และคนไทยคนอื่นอีกหลายล้านคน เพื่อให้ยังคงสามารถใช้อำนาจควบคุมตัวประชาชนได้ต่อไปไม่รู้จบ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทั้งสี่ และอาจมีอีกมากมายนับพันคนที่ถูกควบคุมตัวโดย คสช. เราอาจต้องเริ่มเปลี่ยนคำถามมาเป็นหากปล่อยให้มีการใช้อำนาจตามอำเภอใจแบบนี้ ถึงไม่มีความผิด ใครเลยจะกล้าการันตีว่าจะไม่มีใครต้องสูญเสียอะไรไปอีกมากต่อมากเท่าไหร่.

“คณะกรรมการสิทธิฯ” ย้ำ คสช.เรียกรายงานตัวตามอำเภอใจนั้นไม่เหมาะสม แนะคณะรัฐมนตรีทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษ

กสม.เผย รายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯ ย้ำ คสช.เรียกบุคคลไปรายงานตัวและควบคุมตัวไว้ 7 วันเป็นพฤติการณ์ไม่เหมาะสม เหตุเพราะจำกัดสิทธิบุคคลขัดกับกติการะหว่างประเทศ แนะคณะรัฐมนตรีทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษเกี่ยวกับความมั่นคง

จากกรณีที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ภาคประชาสังคมและประชาชน ขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายหลังรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เนื่องจากศูนย์ทนายฯ พบข้อมูลอย่างน้อย 14 กรณี ที่มีการซ้อมทรมาน ทั้งการทำร้ายร่างกายและพูดจาข่มขู่ ชี้ว่า แม้คสช.จะยกเลิกการเรียกรายงานตัวอย่างเป็นทางการผ่านทางโทรทัศน์ แต่ใช้วิธีการเรียกตัวผ่านทางโทรศัพท์ และประชาชนยังคงถูกจับกุมและดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องโดยหลายครั้งการจับกุมนั้นผิดกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล

วันที่ 18 พฤษภาคม 2559 ศูนย์ทนายความฯ  ได้รับจดหมายจาก กสม. แจ้งผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีที่ศูนย์ทนายฯ ภาคประชาสังคม และประชาชน ขอให้ กสม. ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายหลังรัฐประหารโดย กสม. มีรายงานผลการพิจารณาที่ 1270 – 1294/2558 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเป็นผู้พิจารณา ซึ่งแบ่งประเด็นออกเป็น 6 ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1 การบังคับใช้กฎอัยการศึกมีความเหมาะสม และเป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่

ประเด็นที่ 2 การเรียกบุคคลไปรายงายตัวโดยอาศัยอำนาจตามประกาศ คสช. และกฎอัยการศึกในการขยายระยะเวลาการควบคุมตัวเป็น 7 วัน มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ประเด็นที่ 3 การจับกุมผู้ต้องหาในคดีอาญาหรือการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกมีพฤติการณ์ซ้อมทรมานอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงหรือไม่

ประเด็นที่ 4 การดำเนินคดีกับพลเรือนในเขตอำนาจศาลทหารเป็นการละเมิดสิทธิทางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่

ประเด็นที่ 5 การใช้กฎอัยการศึกในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพในการชุมนุม มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ประเด็นที่ 6การใช้กฎอัยการศึกในการจำกัดสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การปฏิรูปพลังงานในประเทศไทย เป็นการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

จากการพิจารณาดำเนินการ ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การบังคับใช้กฎอัยการศึกมีความเหมาะสม และเป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้อง ระบุว่า การควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ปกปิดสถานที่คุมตัว ไม่เปิดเผยให้ครอบครัวทราบ ไม่ได้รับอนุญาตให้พบทนายความ บุกค้นบ้าน ยึดและค้นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมถึงการออกหมายจับ เพื่อถอนหนังสือเดินทาง จำกัดการชุมนุมต่าง ๆ และกำหนดให้พลเรือนต้องอยู่ในอำนาจการพิจารณาคดีของศาลทหาร

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่เข้าข่ายเป็นการทรมาน การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีอย่างน้อย 7 กรณี

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พันเอก วิจารณ์ จดแตง และพันเอก สัญชัย บูรณะสัมฤทธิ์ ชี้แจงว่า การบังคับใช้กฎอัยการศึกมีความจำเป็น เนื่องจากสังคมมีปัญหาความขัดแย้งสะสมมาหลายปีหากไม่เข้ามาดำเนินการจะต้องมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตั้งแต่ปลายตุลาคม 2556 ถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2557 มีการใช้อาวุธสงครามร้ายแรง ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นกฎอัยการศึกจึงเป็นมาตรการที่จำเป็น เพื่อควบคุมสถานการณ์ แม้นานาชาติจะไม่ให้การยอมรับ แต่ก็จำเป็นสำหรับประเทศไทย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะเกิดความเสียหายต่อประเทศไทยอย่างมาก

อย่างไรก็ดี การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จะเป็นไปตามนโยบายของ คสช. หรือผู้บัญชาการทหารบก คือ ใช้กฎอัยการศึกเท่าที่จำเป็น เน้นการประนีประนอม การแสดงความคิดเห็นสามารถใช้ช่องทางของศูนย์ดำรงธรรมได้

ข้อเท็จจริงจากการพิจารณา

คณะอนุกรรมการฯ แบ่งออกเป็น 3ประเด็นคือ (1) ความเป็นมาของประกาศกฎอัยการ (2) เจตนารมณ์ของกฎอัยการศึก และ (3) สถานการณ์ฉุกเฉินภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ

ในประเด็นแรก อนุกรรมการฯ ได้อ้างการชุมนุมทางการเมืองในปลายปี 2556 ว่า ความรุนแรงยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีท่าทีว่าจะเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดเหตุการณ์จลาจล วันที่ 20 พฤษภาคม 2557 จึงได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้ง กอ.รส. ควบคุมสถานการณ์ให้ยุติการชุมนุม ต่อมามีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แล้วประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ในมาตรา 4 ต่อมา 1 เมษายน 2558 ได้ประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร แต่ในวันเดียวกันมีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่หัวหน้า คสช. อย่างกว้างขวาง

ในประเด็นที่สอง กฎอัยการศึกมีเจตนารมณ์เพื่อให้เป็นเครื่องมือ ในการที่จะรองรับอำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่จะรักษาความมั่นคงของประเทศชาติเมื่อยามคับขันและจำเป็นที่ไม่อาจใช้หน่วยงานของฝ่ายพลเรือนได้ ซึ่งกฎอัยการศึกเป็นกฎหมายพิเศษที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต จำต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนลงบ้าง เพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักร

ส่วนในประเด็นที่สาม ประเทศไทยมีพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) โดยจะต้องให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชน แต่อาจรอนสิทธิได้ หากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างถูกต้องเหมาะสม และแสดงให้เห็นว่าไม่มีมาตรการเบากว่านี้ที่จะสามารถตอบโต้ภัยคุกคามที่เผชิญอยู่ได้ แต่ไม่สามารถรอนสิทธิในชีวิตร่างกายได้

ประเด็นที่ 2 การเรียกบุคคลไปรายงายตัวโดยอาศัยอำนาจตามประกาศ คสช. และการบังคับใช้กฎอัยการศึกในการขยายระยะเวลาการควบคุมตัวเป็น 7 วัน มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้อง ในประเด็นการเรียกรายงานตัวมี 3 กรณีคือ นางสาวจิตรา คชเดช นายปวินชัชวาลพงศ์พันธ์ และกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ร้องเรียนว่าถูกออกหมายจับ ยกเลิกหนังสือเดินทาง ต้องไปรายงานตัวที่ค่ายทหาร ในประเด็นการควบคุมตัว 7 วันมี 6 กรณีที่ถูกบุกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่จำนวนมาก มีการยึด ค้น แจ้งความดำเนินคดี

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติพันโท บุรินทร์ ทองประไพ ได้ชี้แจงในประเด็นการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกว่า ไม่เหมือนการควบคุมตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั่วๆไป ซึ่งการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกเป็นไปเพื่อสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องที่ คสช. สงสัย ตามกฎอัยการศึก ไม่มีบทลงโทษ แต่เป็นเพียงการสอบสวนไปหาความผิดอื่น แล้วจึงแจ้งข้อกล่าวหาและลงโทษตามกฎหมายอาญา

2.3 ข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายประสิทธิพร เวทย์ประสิทธิ์ ผู้แทนกรมการกงสุล ได้ชี้แจงกรณีการเพิกถอนหนังสือเดินทางของผู้ที่ไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ว่าเป็นการปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกันในคดีอื่นๆ คือ กรมการกงสุลจะต้องได้รับหนังสือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจ้งว่าศาลได้ออกหมายจับกรณีหลบหนีการจับกุมตัว และขอให้ดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทาง ซึ่งไม่ต้องแจ้งให้เจ้าของหนังสือเดินทางทราบ เนื่องจากไม่รู้ว่าหลบหนีอยู่ที่ใด ไม่ได้เลือกปฏิบัติเฉพาะแต่กรณีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. หากบุคคลผู้ที่ถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทย สามารถดำเนินการได้โดยไปที่สถานทูต เพื่อขอออกหนังสือสำหรับเดินทางกลับไทยได้

ประเด็นที่ 3 การจับกุมผู้ต้องหาในคดีอาญาหรือการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก มีพฤติการณ์ซ้อมทรมานอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงหรือไม่

ข้อเท็จจริงจากการพิจารณาศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รวบรวมข้อร้องเรียนว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการทรมาน ในระหว่างควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกอย่างน้อย 7 กรณี โดยอนุกรรมการฯ ได้เข้าเยี่ยมผู้ร้องเรียนบางราย เช่น

นายชัชวาล ปราบบำรุง ได้ให้ถ้อยคำว่า ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวโดยมัดมือ ปิดตา ควบคุมตัวไว้ที่ค่ายทหารไม่ทราบชื่อ มีการข่มขู่เอาชีวิตตนเองและครอบครัว ซ้อมทรมานด้วยการทำร้ายร่างกาย ช๊อตด้วยกระแสไฟฟ้า เอาถุงพลาสติกคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจ เป็นต้น

นายณรงค์ศักดิ์ พลายอร่าม ได้ให้ถ้อยคำว่า ระหว่างถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร เจ้าหน้าที่ซ้อมทรมานให้รับสารภาพ ไม่ได้พบญาติ ถูกใส่กุญแจมือตลอดเวลา มีการนำไฟฟ้ามาช๊อตเพื่อข่มขู่ เมื่อตอบคำถามเจ้าหน้าที่ช้าจะถูกทำร้าย

นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี ได้ให้ถ้อยคำว่า สารภาพยอมรับผิดเนื่องจากถูกซ้อมทรมาน ถูกทำร้ายตามเนื้อตัวร่างกาย ถูกนำถุงพลาสติกคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจ ถูกข่มขู่ว่าจะช๊อตไฟฟ้า

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติพันเอก วิจารณ์ จดแตง ชี้แจงว่า การนำตัวผู้กระทำความผิดไปซักถามเป็นการปฏิบัติตามกฎอัยการศึกและไม่สามารถปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้ โดยใช้วิธีการเชิญตัวมาซักถาม หาความเกี่ยวโยงถึงเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น มีการแยกผู้ต้องหาชายหญิงออกจากกันชัดแจน โดยผู้ชายจะถูกควบคุมตัวไว้ในค่ายทหาร ส่วนผู้หญิงจะถูกควบคุมตัวไว้ที่หมวดสารวัตรทหารหญิง และระหว่างการซักถามจะไม่มีการทำร้ายหรือขู่เข็ญใดๆ

ผู้ถูกควบคุมตัวยังมิใช่ผู้ต้องหาตามกฎหมายซึ่งหากในการซักถาม มีทนายความอยู่ด้วยก็จะให้คำแนะนำ ทำให้ไม่ได้ข้อมูลหรือผลอะไร เนื่องจากซักถามในประเด็นความมั่นคง อีกทั้งชุดปฏิบัติการด้านต่างๆ ของ คสช. เป็นชุดปฏิบัติการลับด้านการข่าว หากเกิดความไม่ถูกต้อง หัวหน้าชุดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ประเด็นที่ 4 การดำเนินคดีกับพลเรือนในเขตอำนาจศาลทหารเป็นการละเมิดสิทธิทางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้อง ได้ความว่า ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งพิจารณาลับ ในคดีหมิ่นกษัตริย์ (112) ที่พลเรือนเป็นจำเลยโดยไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งสองเคยฝากขังด้วยอำนาจศาลอาญา ก่อนจะโอนย้ายมาฝากขังด้วยอำนาจศาลทหาร และถูกฟ้องต่อศาลทหาร

ส่วนอีกกรณีหนึ่งผู้ร้องมีเอกสารชี้แจงว่า การแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง การพิจารณาคดีในศาลทหารไม่มีความเป็นอิสระ เนื่องจากศาลทหารขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม ความไม่เป็นธรรมและไม่เป็นกลางในการอำนวยความยุติธรรม กระบวนการพิจารณาไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม

นอกจากนี้ ผู้ร้องไม่ได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการต่อสู้คดีโดยปราศจากเหตุผล เช่น อ้างว่าจะมีการหลบหนี ทั้งที่ไม่มีการไต่สวนพยานหลักฐาน ไม่มีหลักประกันการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย การนำผู้ร้องหรือผู้อื่นซึ่งเป็นพลเรือนไปให้ศาลทหารพิจารณาคดีถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนกรมพระธรรมนูญศาลทหาร พันโท  พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ได้ชี้แจงว่า กระบวนการยุติธรรมในศาลทหารถือปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พิจารณาคดีด้วยความโปร่งใส ผู้พิพากษามีความเป็นอิสระและไม่มีใครจะมาสั่งคดีได้ การสั่งพิจารณาลับในศาลทหารเหมือนกับการสั่งพิจารณาลับในศาลยุติธรรม เหตุในการสั่งการพิจารณาคดีเป็นการลับมีหลักเกณฑ์ คือ เป็นคดีที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี หรือขัดต่อความมั่นคงของรัฐ หรือโจทก์ร้องขอให้พิจารณาลับ

ในห้องพิจารณาคดีของศาลทหารรับได้จำนวนจำกัดประมาณ 30 คน บางคดีมีหน่วยงานจากต่างประเทศ ผู้แทนประเทศต่างๆ ผู้แทนผู้สื่อฯ ขอเข้าเพื่อการรับฟังการพิจารณาคดีซึ่งศาลทหารก็ไม่เคยปิดกั้นและให้เข้าทุกครั้ง การพิจารณาคดีเป็นไปโดยเปิดเผย เว้นแต่พิจารณาคดีเป็นการลับในคดี 112 ที่เป็นการกล่าวอ้างหรือคำพูดหมิ่น โดยกฎหมายบัญญัติเช่นใด ผู้พิพากษาก็ต้องทำตามนั้น ไม่มีนโยบายใดๆ

กรณีการปล่อยตัวชั่วคราวในศาลทหาร เป็นดุลพินิจของศาลทหารในการพิจารณา ศาลทหารไม่มีคำสั่งที่เป็นนโยบายไม่ให้ประกันตัวแต่ประการใด

ประเด็นที่ 5 การใช้กฎอัยการศึกจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพในการชุมนุม มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ประเด็นย่อยที่หนึ่งเรื่องการจัดกิจกรรมทางวิชาการ ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้องกรณีการถูกห้ามจัดกิจกรรมทางวิชาการที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ถูกห้ามจัดงานเสวนาห้องเรียนประชาธิปไตย : บทที่ 2 การล่มสลายของเผด็จการในต่างประเทศ และ เสวนาความสุขและความปรองดองภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พันเอก วิจารณ์ จดแตง และ พันโท บุรินทร์ ทองประไพ ชี้แจงว่าเป็นการขอความร่วมมือ การจัดกิจกรรมด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยนั้นสามารถทำได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศไทยอยู่ในระหว่างดำเนินการแบบพิเศษ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและสร้างความปรองดองเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและด้านจิตวิทยา เมื่อประเทศเดินไปข้างหน้าแล้ว สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ก็ย่อมสามารถดำเนินการต่อไปได้

นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสื่อหลายครั้งแล้วว่าในช่วงเวลานี้ขอให้ระงับไว้ก่อนอย่าเพิ่งเรียกร้องสิทธิที่จะแสดงออก อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก ซึ่งจะเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาตาม Road map ซึ่งฝ่ายทหารต้องเข้าไปชี้แจงและทำความเข้าใจ หากเป็นหัวข้อที่ล่อแหลมอาจสร้างความขัดแย้งหรือกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยอาจนำมาโต้แย้งหรือนำไปเป็นเยี่ยงอย่าง จะทำให้เกิดปัญหาได้เรื่องการจัดกิจกรรม คสช. ไม่ได้ปิดกั้น สามารถร้องขอและขออนุญาตจาก คสช. ได้ โดยจะมีคณะกรรมการพิจารณาว่าสมควรที่จะให้จัดกิจกรรมหรือไม่

ถ้าเป็นหน่วยงานของรัฐ เช่น คณะหรือมหาวิทยาลัย ถ้าเกี่ยวข้องกับทางวิชาการและกระทบต่อการเมือง ทาง คสช. ได้เปิดช่องทางไว้ในการร่วมเสวนา เมื่อมีการเปิดเวที ก็สามารถเข้าไปร่วมได้ อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่จำเป็นต้องมาจัดงานให้ล่อแหลม หรือทำให้เกิดปัญหา

ประเด็นย่อยที่สอง เรื่องการแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มนักศึกษาข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้องมีกรณีที่กลุ่มดาวดินแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการใส่เสื้อไม่เอารัฐประหารและชูสามนิ้วขณะที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ในจังหวัดขอนแก่น กรณีเหตุการณ์ครบรอบ 1 ปี การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและควบคุมตัวด้วยการใช้ความรุนแรง กรณีการควบคุมตัว 14 นักศึกษาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ถูกร้องผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ประสงค์ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อกรณีที่เกิดขึ้น

ผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พันเอก นุรัช ทองแก้ว ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ว่า การจับกุมมีเพียงฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายปฏิบัติ ทางทหารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ส่วนคำถามว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่นั้น ไม่ทราบแน่ชัด ส่วนประเด็นความผิดในเชิงสิทธิเสรีภาพไม่ควรขึ้นศาลทหาร ไม่สามารถตอบได้ ส่วนในเรื่องข้อกฎหมาย ให้สอบถามเป็นหนังสือทาง คสช. ยินดีชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ขอยืนยันว่า คสช. ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและศึกษากฎหมายอย่างดีแล้ว กรณีอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทหารแต่งกายเต็มยศไปเยี่ยมผู้ปกครองของนักศึกษาถึงบ้าน ก่อนนักศึกษาถูกจับมีทหารนอกเครื่องแบบสะกดรอยติดตาม ยืนยันว่าทหารไม่เกี่ยวข้อง และเป็นทหารจริงหรือไม่นั้น ยังพิสูจน์ไม่ได้

ข้อเท็จจริงจากการพิจารณาดำเนินการคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ได้เข้าเยี่ยมเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงจากนักศึกษา สาระสำคัญดังนี้ กลุ่มนักศึกษาไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร การกระทำของนักศึกษาสามารถทำได้ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองนักศึกษาให้ข้อมูลว่าในชั้นศาลทหาร ตุลาการศาลทหารไม่ได้เขียนในสิ่งที่นักศึกษาพูด ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ

ข้อเท็จจริงและความเห็นจากพยานผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร. กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าการใช้ประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 ประกาศ คสช. 7/2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 บังคับใช้กฎหมายอย่างสับสนโดยคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 มีผลยกเลิกกฎหมายเก่า ทำให้ต้องขึ้นศาลยุติธรรม แต่ในกรณีนี้นักศึกษาถูกดำเนินคดีตามมาตรา 116 ของกฎหมายอาญาด้วย ซึ่งอยู่ภายใต้ศาลทหาร หากศาลเห็นว่าพฤติการณ์ของนักศึกษาเข้ามาตรา 116 ที่กำหนดโทษหนักกว่าความผิดจากการชุมนุมก็ต้องขึ้นศาลทหาร แต่หากไม่ถึงขั้น 116 ก็ขึ้นศาลยุติธรรม

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากประกาศของ คสช. แล้ว ก็เห็นว่ามีเจตนาให้ขึ้นศาลยุติธรรมปกติ แต่เจ้าพนักงานซึ่งไม่มีแนวปฏิบัติ ต้องการความสะดวกรวดเร็ว และมีอำนาจมากในการควบคุมคดีก็จะพยายามกล่าวหาความผิดรุนแรงขึ้น กสม. ควรทำความเข้าใจกับ คสช. ว่าการกระทำระดับใดควรอยู่ในอำนาจศาลทหารเพื่อป้องกันความขัดแย้งและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความ และอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ให้ความเห็นว่า การตั้งข้อกล่าวหา เกี่ยวกับการจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่ทำผิดประมวลกำหมายอาญา มาตรา 116 และขัดคำสั่ง คสช. ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คนนั้น หากดูตามพฤติการณ์มาเทียบเคียงกับความผิดตามข้อกล่าวหาแล้ว ยังเห็นว่าไม่มีข้อใดที่เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด เพราะเป็นการแสดงออกตามวาระทางการเมือง ส่วนที่ระบุว่านักศึกษามีคนเสื้อแดง หรือขั้วอำนาจเก่าอยู่เบื้องหลัง ถ้าเป็นจริงเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่จะต้องพิสูจน์หาข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ยืนยันได้แล้วเสียก่อนจึงค่อยตั้งข้อหาไม่ใช่ดำเนินการด้วยข้อสันนิษฐาน

ประเด็นที่ 6 การใช้กฎอัยการศึกในการจำกัดสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การปฏิรูปพลังงานในประเทศไทย เป็นการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ข้อเท็จจริงฝ่ายผู้ร้องกรณีกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทยกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตกรณีความรุนแรงปี 2553 เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่แบไรท์ จัดกิจกรรมแล้วถูกควบคุมตัว โดยมีทั้งควบคุมตัวในห้องขัง ควบคุมตัวโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา รวมถึงดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 หรือเชิญตัวไปเจรจาปรองดองเพื่อให้ยกเลิกการรวมกลุ่มคัดค้าน

ข้อเท็จจริงจากผู้แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติพันเอกวิจารณ์ จดแตง และพันโท บุรินทร์ ทองประไพ ชี้แจงว่า เนื่องจากปัจจุบันเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ในกรณีประชาชนมีความเห็นต่าง ผู้บังคับบัญชาจะมีช่องทางให้สามารถแสดงออก เสนอความคิดเห็นได้ ฉะนั้น การมาแสดงออกโดยการเดินบนถนนหรือที่สาธารณะ หรือโปรยใบปลิว และทำกิจกรรมนั้น ผู้อื่นอาจมองว่าประเทศยังมีความขัดแย้งอยู่รวมทั้งอาจมีผู้ฉวยโอกาสก่อความไม่สงบขึ้นมาอีก เจ้าหน้าที่จึงมีหน้าที่จะต้องยุติการกระทำดังกล่าว และอาจเชิญตัวไปเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจว่ามีช่องทางแสดงความคิดเห็นอยู่ เมื่อเข้าใจแล้วจะไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใด ก็ให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เว้นแต่ข้อจำกัดของกฎหมาย ซึ่ง คสช. ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นผ่านทางศูนย์ดำรงธรรมได้ แต่ขอให้ไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ในการปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้  เพียงแค่จำกัดพฤติกรรมร้องเรียนที่ไม่เหมาะสม

ส่วนในกรณีเหมืองแร่แบไรท์ พันเอก ชาญวิทย์ ปิ่นมณี ได้ชี้แจงว่า เจ้าของเหมืองแร่และบิดาของผู้เสียชีวิตเป็นเพื่อนร่วมทำกิจการมาด้วยกัน แต่มีเรื่องผิดใจกันจึงเกิดการคัดค้านฟ้องร้องกัน ทาง กอ. รมน. จึงเข้าไปเพื่อสร้างความปรองดองตามนโยบายของกองทัพ การขอให้ถอนฟ้องนั้นเป็นข้อเสนอของกำนันในพื้นที่ ทางกอ. รมน. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในส่วนของคดีความเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามอยู่และรับว่าจะเร่งรัดดำเนินการให้

ความเห็นคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

1. ประเด็นการบังคับใช้กฎอัยการศึกในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2556 ถึงต้นพฤษภาคม 2557 รับฟังได้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกินกว่าขอบเขตของการใช้เสรีภาพของการชุมนุม ฉะนั้น การประกาศใช้กฎอัยการศึก ในระยะเวลาดังกล่าวในการรักษาความมั่นคงพอรับฟังได้

แต่ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พบว่า ใช้กฎอัยการศึกเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่สะสมมายาวนานในบริบทการสร้างความปรองดอง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกรายงานตัว การควบคุมตัว การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เห็นว่า การบังคับใช้กฎอัยการศึกจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า สถานการณ์ในช่วงหลังรัฐประหาร ยังไม่ปรากฏภาวะฉุกเฉินสาธารณะที่คุกคามความอยู่รอดของชาติให้เห็นเป็นประจักษ์ การบังคับใช้กฎอัยการศึก หรือกฎหมายอื่นใดเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เกินกว่าความจำเป็น ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ

2.ประเด็นการเรียกบุคคลไปรายงานตัวและการบังคับใช้กฎอัยการศึกในการขยายระยะเวลาควบคุมตัวเป็น 7 วันเป็นการไม่เหมาะสม ในการจำกัดสิทธิบุคคลที่ถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ ขัดกับข้อ 9 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ. ศ. 2550

คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า การควบคุมตัวไม่มีการตรวจสอบโดยศาล การแก้ไข้ความขัดแย้งทางการเมืองย่อมต้องใช้มาตรการทางการเมือง ส่วนผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต้องใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องตัดสิน

3. ประเด็นการจับกุมผู้ต้องหาในคดีอาญาหรือการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกมีพฤติการณ์เป็นการซ้อมทรมานคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงทางการแพทย์และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สามารถระบุยืนยันได้ว่ามีการซ้อมทรมานเกิดขึ้น ประกอบกับการตรวจสอบไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เนื่องจากอุปสรรคในการเข้าถึงพยานหลักฐานในระยะเวลาที่เหมาะสมและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ให้ข้อสังเกตว่าพฤติการณ์การควบคุมตัวเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยไม่เปิดเผยสถานที่ และไม่ให้บุคคลใดเข้าพบ ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการถูกซ้อมทรมาน

4. ประเด็นการดำเนินคดีกับพลเรือนในเขตอำนาจศาลทหาร เป็นการละเมิดสิทธิทางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ กรณีนี้ได้มีหนังสือสำนักเลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ คสช, (สลธ)/38 เรื่อง ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีสาระสำคัญว่าประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 เรื่องความผิดที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร ยังมีเหตุผลและความจำเป็นที่ยังจะต้องคงอยู่ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์และความมั่นคงของประเทศ

อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าประเทศไทยมีพันธกรณีตามข้อ 14 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งรับรองสิทธิการได้รับการดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม และควรตระหนักถึงหลักการสากลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมของศาลทหาร ซึ่งวางหลักไว้แล้วว่า ศาลทหารไม่ควรมีเขตอำนาจในการดำเนินคดีกับพลเรือน

5. ประเด็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพในการชุมนุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าเสรีภาพดังกล่าวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ที่ประชาคมโลกให้การยอมรับ รัฐควรมีหน้าที่ส่งเสริม ไม่ควรปิดกั้นการใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวโดยสิ้นเชิง อีกทั้งกฎหมายทั่วไป ก็สามารถดูแลการชุมนุมได้อย่างมีประสิทธิภาพและสงบเรียบร้อย และการชุมนุมทางการเมืองก็ต้องใช้วิธีการแก้ไขทางการเมือง กล่าวคือ การพูดคุย ปรึกษาหารือ แต่มาตรการที่ใช้กำลังความรุนแรงหรือกฎหมายความมั่นคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้

6. การจำกัดสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การปฏิรูประบบพลังงานในประเทศไทย รัฐบาลปิดกั้นการเคลื่อนไหวของประชาชนด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคง โดยไม่แก้ไขความเหลื่อมล้ำอันเป็นสาเหตุแท้จริงของปัญหา ย่อมเป็นอุปสรรคในการปฏิรูปประเทศไทยและจะยิ่งขยายความขัดแย้งออกไปอย่างกว้างขวาง ทำลายเป้าหมายความปรองดองสมานฉันท์และคืนความสุขให้กับประชาชนในที่สุด

ดังนั้น คณะอนุกรรมจึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อคณะรัฐมนตรี

ความเห็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพิจารณาคำร้องและความเห็นของคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง มีความเห็นสอดคล้องกัน และมีข้อเสนอแนะทางนโยบายดังนี้

1. คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษเกี่ยวกับความมั่นคง หรือกฎหมายที่มีลักษณะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขว้าง และจำต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วน โดยกระทำเท่าที่จำเป็น และไม่กระทบกระเทือนถึงสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้น

2. คณะรัฐมนตรีควรกำชับและดูแลหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมายความมั่นคง รวมถึงสาระสำคัญตามพันธกรณีระหว่างประเทศ คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให้สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ นิติธรรม

ทั้งนี้ เพื่อปฏิรูปประเทศ และเพื่อให้เกิดการปรองดอง ในอันที่จะลดเงื่อนไขต่าง ๆ ลงสมควรพิจารณาถึงประกาศและคำสั่ง คสช. ที่กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพในสาระสำคัญ เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

มติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ตามการประชุมครั้งที่ 41/2558 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2558 มีมติให้เสนอแนะเชิงนโยบายต่อคณะรัฐมนตรีและมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติติดตามผลการดำเนินการต่อไป

อ่านรายงานการตรวจสอบ กสม ได้ที่
https://tlhr2014.files.wordpress.com/2016/06/nhrc-report.pdf

จดหมายปะหน้า
https://tlhr2014.files.wordpress.com/…/cover-nhrc-report.pdf

ศาลยุติธรรมเห็นพ้องคดีเลือกตั้งที่(รัก)ลัก อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลทหาร

ศาลทหารเผยต่อจำเลยกลุ่มพลเมืองโต้กลับ คดีเลือกตั้งที่(รัก)ลัก ศาลแขวงปทุมวันเห็นพ้องคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลทหาร ด้านทนายความยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินัยว่า ประกาศ คสช.ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่

จากกรณีนางสาวคุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายจำเลยคดีที่นักกิจกรรมกลุ่มพลเมืองโต้กลับได้แก่ นายอานนท์ นำภา นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ (จ่านิว) นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ และนายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง  จากการจัดกิจกรรม เลือกตั้งที่ (รัก) ลัก ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลทหารในการพิจารณาคดีดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลทหารแต่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงปทุมวัน โดยศาลทหารกรุงเทพส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลแขวงปทุมวันไปแล้วนั้น

วันนี้ (10 มิถุนายน 2559) ศาลทหารกรุงเทพนัดฟังคำสั่งเรื่องข้อโต้แย้งเขตอำนาจศาลในการพิจารณาคดี มีสาระว่าศาลแขวงปทุมวันมีความเห็นพ้องกันว่า คดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพ โดยไม่ได้อ่านความเห็นของศาลแขวงปทุมวันให้ทนายความและจำเลยในคดีนี้ฟังแต่อย่างใด

หลังจากนั้นทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องให้ศาลทหารเพื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บังคับกับคดีนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหรือไม่ เนื่องจากจำเลยทั้ง 4 คน เห็นว่า ประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร และฉบับที่ 38/2557 เรื่อง คดีที่ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอำนาจของศาลทหาร รวมทั้งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498  ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557

Screen Shot 2016-06-10 at 4.36.28 PM.png

อัยการศาลทหารกรุงเทพจึงแถลงต่อศาลทหารกรุงเทพขอทำคัดค้านคำร้องดังกล่าวภายใน 30 วัน ศาลทหารกรุงเทพจึงมีคำสั่งให้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปก่อนเพื่อวินิจฉัยคำร้องดังกล่าวด้วย แล้วจะนัดคู่ความมาฟังคำสั่งต่อไป

สำหรับรายละเอียดคำร้องเบื้องต้นของทนายจำเลยที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาลและพิจารณาพิพากษาในคดีดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมีดังต่อไปนี้

1. พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 5 และมาตรา 10 ขัดหรือแย้งกับหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเพราะในมาตรา 5 ระบุว่า ศาลทหารอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม และมาตรา 10 ระบุว่าอำนาจในการถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งปัจจุบันมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและยังดำรงตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษา คสช. ซึ่งเป็นผู้ออกประกาศ คสช.มาบังคับใช้เอาผิดกับจำเลยทั้ง 4 คน

Screen Shot 2016-06-10 at 4.37.51 PM.png

 

2. ประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 และ ฉบับที่ 38/2557 ที่ทำให้จำเลยทั้ง 4 ต้องถูกพิจารณาคดีในศาลทหารนั้นเป็นการเลือกปฎิบัติโดยอาศัยเหตุความแตกต่างจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือความเห็นอื่น และประกาศ คสช.ทั้ง 2 ฉบับก็ขัดกับ มาตรา 4 ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557  ที่ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของประชาชนต้องได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองของประเทศและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว

 

ทั้งนี้เมื่อศาลทหารกรุงเทพวินิจฉัยคำร้องของทนายจำเลยแล้วจะส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประกาศของ คสช.ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ศาลทหารกรุงเทพเคยมีคำสั่งจากการวินิจฉัยคำร้องลักษณะดังกล่าวแล้วคือ  เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558  ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งในเรื่องที่นางสาวจิตรา คชเดชยื่นคำร้องขอให้ศาลทหารส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 และ ฉบับที่ 38/2557 ขัดหรือแย้งกับข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น

โดยศาลทหารกรุงเทพเคยมีคำสั่งว่า ศาลทหารกรุงเทพไม่อาจส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้เพราะ ตามมาตรา 5 วรรค 2 ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยบัญญัติเฉพาะที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดี ศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุดเท่านั้นที่จะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดได้ ด้วยเหตุนี้ศาลทหารกรุงเทพจึงไม่สามารถส่งเรื่องดังกล่าวได้

Screen Shot 2016-06-10 at 4.39.55 PM.png

แต่ทั้งนี้เมื่อพิจารณาคำร้องของทนายจำเลยคดีคดีที่ยื่นให้ศาลทหารในวันนี้  ก็จะพบว่า ในคำร้องดังกล่าวได้ระบุให้ศาลทหารกรุงเทพมีหน้าที่ส่งคำร้องนี้แก่ศาลรัฐธรรมแม้รัฐธรรมนูญจะมิได้บัญญัติถึงอำนาจการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญไว้เหตุเพราะหากพิจารณาตาม มาตรา 5 วรรคแรกของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติไว้ว่า เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้การกระทำนั้นหรือวินิจฉัยนั้นไปตามประเพณีการปกครอง

นอกจากนี้ตามประเพณีการปกครองของประเทศไทยตั้งแต่ตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ก็กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิฉัยว่า บทบัญญัติในกฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ก็กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่

ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า  บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลใช้บังคับในคดีนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องฉบับนี้ของจำเลยได้

Screen Shot 2016-06-10 at 4.41.22 PM.png

Inconsistent with the Truth: The Thai Representative’s UPR Statement on Military Courts

The second cycle of the Universal Periodical Review (UPR) of Thailand was held on 11 May 2016 in Geneva, Switzerland. Many UN member states raised concerns and questions about the use of military courts to try civilians. To respond to the queries from other member states, a team of representatives from the Government of Thailand attended the session, including Lt. Col. Seni Bhromvivat, the Head of the Military Legislation Section of the Judge Advocate General’s Department from the Ministry of Defense.

Lt. Col. Seni Bhromvivat, as a representative of the Government of Thailand, explained to the Human Rights Council that the application of military jurisdiction to civilian cases is limited to specific and severe offences. The defendants in the military courts have the same rights as those in civilian courts as the military courts operate under the Criminal Procedure Code which guarantees the right to a fair trial and other rights of defendants in line with international obligations.  The military judges are required to have legal knowledge and proficiency in criminal law, similar to judges in the civilian court system.

Lt. Col. Seni further explained that military judiciary guarantees the right to a fair and public hearing by an independent judiciary. The defendant has the right to legal assistance and the right to bail, and receives consideration for temporary release, the same as within the civilian judiciary. The military trials also are open for public observation,  including civil society and human rights organizations in addition to defendants’ families.

 

However, after extended observation of trials of civilians in military courts, Thai Lawyers for Human Rights (TLHR) has found that the representative’s explanation to the international community is inconsistent with the actual situation. Military trials are explicitly and considerably differ from civilian trials in many ways, all of which affect access to rights during the judicial proceedings and result in violations of the rights of civilian alleged offenders and defendants.

  1. A large numbers of the political cases tried in the military courts are not serious crimes. In a normal society, many of the actions for which people have been charged and prosecuted under the jurisdiction of the military court are not considered crimes. Instead, these are actions related to the exercise of the rights to freedom of expression and freedom of peaceful assembly, such as eating out at McDonalds’ as an action to express dissent against the coup d’état, not reporting as summoned by the orders of the National Council for Peace and Order (NCPO), organizing a commemorative activity on the anniversary of a past election, walking from home to the military court alone, riding a train to investigate alleged corruption at the military-built Rajabhakti Park, mocking the head of the junta, holding a press release insisting that ‘Universities are not military camps’, and taking photos with a red water bowl, to name a few.
  2. Many weapons cases are not related to politics and are not serious offences. TLHR has found that the defendants in many weapons cases tried in the military courts are villagers or people of ethnic groups arrested for possessing unregistered cap guns or for not handing over the firearms to the authorities as ordered by an NCPO announcement. The alleged offenders usually use the guns for hunting or taking care of their plantations. Some possessed only one gun or antique firearms with no registration. Many alleged offenders are not involved with politics or violence in any way.
  3. The military judges lack independence and impartiality. The military judiciary is subordinate to the Ministry of Defense and the Defense Minister and the Commander of the Royal Thai Army is authorized to appoint military judges. This places the military judges under military command, which is different from the judicial system. TLHR has also found that in some trials, the military tribunal made a phone call to their superiors within the chain of command prior to delivering the outcome of a discretionary decision to a defendant, which demonstrates the lack of independence present in adjudication.
  4. Not all military judges are proficient in law. In the military courts, of the three adjudicators on a panel of judges, only a judge advocate general is required to be a commissioned officer with a degree in law. The rest of the adjudicators are commissioned officers appointed by commanders in each military court’s jurisdiction and are not required to possess a law degree.
  5. The military courts do not have sufficient personnel for the caseload. Each month, around 30 military judge advocate generals will move from court to court within the 29 operating military circle courts. Most courts have a stationed military prosecutor and 2-3 court officials who also have to perform as court clerks during the proceedings. The limitation of the military court staff to handle thousands of civilian cases has resulted in delayed prosecutions.
  6. International observers cannot attend hearings in provincial military courts. Military bases, where the provincial military courts are located, are designated as zones of national security and confidential state affairs. Therefore, foreigners, including staff from international organizations and embassies, are not allowed to enter the bases.
  7. Before martial law was lifted, the cases tried in military courts could not be appealed. Defendants in any case tried in the military courts during the period of 25 May 2014 – 1 April 2015 while the martial law was imposed were not entitled to appeal the court’s conviction or any decision to higher courts. This was true even in those cases with heavy penalties such as the death penalty. This is in conflict with the principle of the rule of law and denied the defendant’s right to appeal to a higher court to review the lower court’s judgment and impeded their access to the right to a fair trial.
  8. The military courts do not offer lawyers. In civilian courts, a defendant who does not have a lawyer and requests to have one can be appointed a state-provided lawyer. These lawyers are usually stationed at the courts and are provided at no charge to the defendants. The military courts, however, do not have a mechanism to guarantee the defendant’s access to legal assistance. The military courts did not provide lawyers for many defendants in need of lawyers in weapons cases. In other cases, the court officials sometimes contacted a lawyer to assist in cases, but erratically.
  9. The military court proceedings are extremely delayed. The military courts usually hold evidence hearings every two or three months. Each hearing begins in the morning and ends before noon. This schedule makes it possible to hear evidence from only one or two witnesses per round, or in situations in which a witness has very detailed evidence to present, it may take several rounds. Adjournment is also not uncommon. The taking of evidence in the military courts is therefore much more delayed and sporadic in comparison to the civilian courts that usually hold consecutive hearing dates which makes the proceedings swifter than in the military courts.
  10. The delays in military court proceedings forces some defendants to plead guilty, especially those whose request for temporary release is denied. They face a lengthy period of pre-trial detention and there many decided to plead guilty as charged in order to receive a reduced sentence. It is apparent that the delays gravely affect the defendant’s right to fair proceedings.
  11. The military courts generally hand down heavier penalties than civilian courts. For example, lèse majesté cases now have a new rate of penalty of 8-10 years of imprisonment per count, while the same offence in the civilian courts previously resulted in 5 years per count on average. As a result, many cases with several counts of violation have set new records for severe sentences. In another example, the offence of defying an NCPO order was punished by a military court with a 10,000 baht fine, reduced by half to 5,000 baht as the defendant pled guilty. The same offence in a civilian court was punished with a 500 baht fine.
  12. The military courts do not carry out a pre-sentence investigation. The civilian courts can issue an order to investigate a defendant and make a report of the facts, background, behavior, and life of the defendant to inform the court’s discretion in making sentencing decisions. The military courts, however, claim that they cannot order the Department of Probation, which is under the Ministry of Justice, to carry out such an investigation. Lots of facts about the defendants, such as a defendant’s mental illness, are not taken into account by the military court when they make decisions about punishment.
  13. The military courts do not allow lawyers to copy the records of some proceedings. In some cases, the judge advocate general stated that as the record of the proceedings has been read in the courtroom, a copy is not necessary. This differs from the civilian courts in which litigants can access and copy the records of proceedings.
  14. Restrictions on bail surety are more stringent than in civilian courts and standard criteria regarding bail amounts do not exist. The military courts do not accept an individual or the civil service status of an individual as a surety for bail and do not accept payment by a bail bond. The civilian courts allow a greater range of categories of bail payment and guarantors.
  15. The military court clerks still manually write or type the court’s record of proceedings. Unlike the civilian courts, which use voice-recording devices, the manual method in the military courts causes discontinuity and delay as the proceedings must occasionally stop and wait for the clerk.
  16. The suspects or defendants are taken to prison while waiting for the result of the request for temporary release. Both female and male suspects and defendants have been subjected to violations while being strip searched before entering the prison. The civilian courts detain the suspects or defendants in a detention room at the court while waiting for the result of the request for temporary release. If the courts grant temporary release, the suspects or defendants are released from the courts directly and do not have to go through the procedures to enter and leave the prison.