ศาลทหารนัดไต่สวนรายงานผลการตรวจอาการทางจิตว่าสู้คดีได้หรือไม่ของจำเลยคดีเขียนหนังสือร้องเรียนที่มีข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ถึงนายกฯ ที่ ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานกพ.เมื่อวันที่ 19 ก.พ.2558 แพทย์มีความเห็นจำเลยเข้าข่ายวิกลจริตจริง แต่อาการดีขึ้นแล้วสามารถสู้คดีได้ ศาลเห็นตามแพทย์จึงนัดสอบคำให้การในวันที่30 พ.ค.2559
29 มี.ค.2559 ศาลทหารนัดไต่สวนรายงานผลการตรวจวินิจฉัยและประเมินความสามารถในการต่อสู้คดีของประจักษ์ชัย(สงวนนามสกุล)จำเลยคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จากการเขียนหนังสือร้องเรียนถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยยื่นหนังสือให้กับทหารที่ประจำอยู่ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
นัดนี้ศาลทหารได้เรียกจิตแพทย์เจ้าของไข้ซึ่งเป็นแพทย์ชำนาญการพิเศษ สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ มาเบิกความถึงรายละเอียดในรายงานตรวจวินิฉัยฯเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2559 ซึ่งเป็นการตรวจอาการทางจิตของประจักษ์ชัยครั้งล่าสุด
แพทย์ได้เบิกความตอบคำถามศาลว่า ศาลทหารได้ส่งตัวนายประจักษ์ชัยให้ทำการตรวจรักษาตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.2558 และได้ทำการตรวจรักษาในฐานะผู้ป่วยในตั้งแต่วันที่ 22-28 ในเดือนเดียวกัน และหลังจากนั้นยังได้ทำการตรวจรักษาแบบผู้ป่วยนอกอีกหลายครั้ง กระบวนการตรวจของสถาบันกัลยาณ์ฯ จะมีคณะกรรมการวินิจฉัย 5 ฝ่าย คือจิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก นักกิจกรรมบำบัดและนักสังคมสงเคราะห์ แต่ได้ทำการตรวจประเมินอาการครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ส.ค.2558
แพทย์เบิกความถึงการตรวจอาการครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ว่านายประจักษ์ชัยยังมีอาการหลงผิดอยู่ โดยอาการหลงผิดนี้คือการทำผู้ป่วยมีความเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แม้ว่าจะมีบุคคลอื่นหรือหลักฐานมาแสดง
นายประจักษ์ชัยขณะนี้ได้รับยาต้านโรคจิตอยู่และสามารถรักษาหายได้โดยต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะหายเมื่อไหร่ แต่ขณะนี้นายประจักษ์ชัยมีอาการดีขึ้นไม่มีอาการหูแว่ว สามารถควบคุมตนเองได้ และสามารถใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานเองได้ และในขณะนี้สามารถรับรู้ขั้นตอนคดี เล่าเรื่องเกี่ยวกับคดี และสามารถต่อสู้คดีได้แล้ว
ศาลได้อนุญาตให้ทนายความจำเลยถามพยานเพิ่มเติม แพทย์เบิกความว่าตั้งแต่หลังการตรวจอาการเมื่อวันที่ 4 ก.พ.แล้วไม่ได้ทำการตรวจอีกจนกระทั่งถึงวันนี้จึงไม่ทราบว่าขณะนี้อาการของนายประจักษ์ชัยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้วัดว่าสู้คดีได้หรือไม่ตามที่ได้ประเมินไว้เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2559
ทนายความได้ถามพยานว่าคนที่มีอาการหลงผิดต้องหลงผิดในทุกเรื่องหรือไม่ แพทย์ตอบว่าอาการหลงผิดนั้นไม่ต้องเป็นกับทุกเรื่องแต่เมื่อหลงผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงความเชื่อ ส่วนอาการหลงผิดของประจักษ์ชัย เขายังคงมีความเชื่ออยู่เหมือนเดิมตามที่ได้ทำการประเมินอาการครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ส.ค.2558 ซึ่งตามรายงานผลการตรวจวินิจฉัยในครั้งนั้นคือผู้ป่วยมีอาการทางจิตเรื้อรัง มีอาการหลงผิด โดยผู้เป็นโรคจิตเภตนี้เข้าข่ายเป็นผู้วิกลจริต
ภายหลังการไต่สวนศาลได้เรียกโจทก์และจำเลยขึ้นถาม โจทก์แถลงกว่าขอให้ศาลยกคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาต่อ แต่ทางจำเลยได้มีคำร้องให้ขอเลื่อนการฟั่งคำสั่งรายงานผลการตรวจวินิจฉัยและประเมินความสามารถในการสู้คดีออกไปเนื่องจากเห็นว่าผลการตรวจอาการทางจิตของนายประจักษ์ชัยนั้นไม่ได้เป็นปัจจุบันและจำเลยยังป่วยด้วยโรคตับแข็งอีกด้วย จึงขอโอกาสได้เรียบเรียงข้อเท็จจริงและเหตุผลโดยละเอียดเป็นแถลงการณ์ประกอบดุลยพินิจในการทำคำสั่ง
ทั้งนี้ศาลเห็นว่าผลการตรวจวินิจฉัยของแพท์ยนั้นมีเป็นเอกสารราชการยืนยัน อีกทั้งจำเลยยังได้รับการประกันตัวจึงสามารถเข้ารับการรักษาได้ ศาลจึงมีคำสั่งให้ยกคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาต่อและได้นัดจำเลยสอบคำให้การในวันที่ 30พ.ค.2559
ทนายความของนายประจักษ์ชัยได้ตั้งข้อสังเกตว่าในบันทึกคำเบิกความของศาลไม่ได้บันทึกประเด็นสำคัญเอาไว้คือ แพทย์ได้เบิกความตอบศาลด้วยว่าอาการของโรคจิตเภตนั้นเกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ศาลทหารสั่งจำหน่ายคดียื่นคำร้องหมิ่นฯชั่วคราว จนกว่าหมอรักษาอาการดีขึ้น