6 มิ.ย.59 ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัดพร้อมและสอบคำให้การในคดีระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร กับนางอัษฎาภรณ์ และนายนพฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดในการร่วมกันปลอมเอกสารราชการ จากกรณีการแอบอ้างสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อเรียกผลประโยชน์กับทางวัดไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร
ก่อนหน้านี้ จำเลยอีกสองคนในกรณีเดียวกัน ได้แก่ นายกิตติภพและนายวิเศษ ได้ยื่นขอกลับให้การ เป็นรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ศาลจึงได้พิพากษาเมื่อวันที่ 30 พ.ค.59 ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ความผิดข้อหาสวมเครื่องแบบของเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิ ให้ลงโทษจำคุก 4 เดือน และความผิดข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการ ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี รวมโทษจำคุก 7 ปี 4 เดือน แต่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุกคนละ 3 ปี 8 เดือน (ดูรายงานข่าว)
ขณะที่ นางอัษฎาภรณ์ และนายนพฤทธิ์ ยังยืนยันให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ศาลจึงให้อัยการโจทก์แยกฟ้องเข้ามาเป็นคดีใหม่ และศาลได้นัดพร้อมคดีใหม่ โดยจำเลยทั้งสองได้จัดทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรมายื่นต่อศาล ยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้ขอให้ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี ศาลจึงให้คู่ความนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 8 ส.ค.59 เวลา 9.00 น.
นอกจากนั้นนายนพฤทธิ์ จำเลยที่ 2 และทนายความ ยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้น ว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิด เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไม่ใช่บุคคลตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งศาลได้วินิจฉัยว่าการขอให้ศาลขี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเรื่ององค์ประกอบความผิดมาตรา 112 เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ แม้จะวินิจฉัยก็ไม่ทำให้คดีแล้วเสร็จ โจทก์ยังคงต้องนำสืบพยานในข้อหาอื่นอีก จึงเห็นควรให้มีการสืบพยานโจทก์และจำเลยให้เสร็จสิ้นก่อน และรอวินิจฉัยพร้อมกับคำพิพากษา
ทั้งนี้ ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายในการนัดพร้อมคดีในครั้งแรก ศาลก็วินิจฉัยว่าให้รอไว้พิจารณาพร้อมกับคำพิพากษาเช่นกัน แต่ในการอ่านคำพิพากษาในคดีที่จำเลยทั้งสองรับสารภาพดังกล่าว ศาลไม่ได้อ่านในส่วนรายละเอียดคดีและข้อวินิจฉัยทางกฎหมายต่างๆ จึงยังไม่ทราบรายละเอียดเนื้อหาในส่วนดังกล่าว
ภายหลังการสอบคำให้การ ญาติของนายนพฤทธิ์ จำเลยที่ 2 ยังได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินราคาประเมิน 1.7 ล้านบาท แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง และมีหลายข้อหา หากปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี โดยนับเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ที่จำเลยยื่นขอประกันตัวและศาลมีคำสั่งไม่อนุญาต
บิดาของนายนพฤทธิ์เดินทางมาจากจังหวัดอุบลราชธานี และรอเข้าเยี่ยมลูกชาย
เหตุในกรณีนี้ กลุ่มจำเลยสี่คนถูกกล่าวหาว่าได้ร่วมกันปลอมเอกสารหนังสือราชการของสำนักราชเลขานุการ กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และได้นำไปอ้างแสดงต่อเจ้าอาวาสวัดไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมกับผู้เสียหายอีกหลายคน และยังมีการกล่าวอ้างว่าสามารถที่จะทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาร่วมในพิธีของวัดได้ โดยมีการกล่าวอ้างแสดงตนว่าเป็นหม่อมหลวง พร้อมเรียกเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ จากผู้เสียหาย ต่อมา ทางเจ้าอาวาสวัดไทรงามได้ให้ตัวแทนเข้าแจ้งความดำเนินคดี
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้เข้าให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับนายนพฤทธิ์ ปัจจุบันอายุ 29 ปี พื้นเพเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี และทำงานเป็นพนักงานของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นายนพฤทธิ์ระบุว่าเขารู้จักกับนายวิเศษ จำเลยอีกคนในกรณีนี้ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน และไม่เคยรู้จักจำเลยอีกสองคนมาก่อน แต่นายวิเศษได้มาชวนไปร่วมทำบุญ โดยอ้างว่าให้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ที่วัดไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร ในช่วงเดือนเม.ย.58 แต่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแอบอ้างตามข้อกล่าวหา ไม่ทราบเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ แต่มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายจับมาควบคุมตัวเมื่อวันที่ 21 ส.ค.58 และไม่ได้รับการประกันตัวนับแต่นั้น
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
คดีแอบอ้าง “สมเด็จพระเทพฯ” ที่ศาลกำแพงเพชร จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธข้อหา
สองจำเลยคดีม.112 แอบอ้างสมเด็จพระเทพฯ กลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ด้านอีกสองจำเลยยืนยันปฏิเสธข้อหา
ศาลพิพากษาสองจำเลยคดี 112 แอบอ้างสมเด็จพระเทพฯ จำคุก 7 ปี 4 เดือน