15 มี.ค.59 ที่สถานีตำรวจภูธรช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่ ทนายความได้เข้ายื่นคำให้การของไทเรล ฮาเบอร์คอร์น ในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ ในคดีที่กลุ่มนักวิชาการในนาม “เครือข่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัย” ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรื่อง “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” เมื่อวันที่ 31 ต.ค.58 และได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 เรื่องการมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมืองที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
ก่อนหน้านี้ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สองผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้ขอให้พนักงานสอบสวนได้สอบพยานบุคคลเพิ่มเติม แต่เนื่องจากพยานอีกหนึ่งคน คือไทเรล ฮาเบอร์คอร์น ยังไม่สามารถเดินทางมาให้การในช่วงเดือนนี้ด้วยตนเองได้ และพนักงานสอบสวนต้องเร่งสรุปสำนวน พยานจึงได้จัดทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร และให้ผู้ต้องหาทั้งสองรับรองเอกสาร เพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนแทน
สำหรับ ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น (Tyrell Haberkorn) เป็นอาจารย์และนักวิจัยประจำภาควิชาการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมือง มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ไทเรลได้ทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมือง กฎหมาย และสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยมาหลายสิบปี รวมทั้งร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ที่เรียกร้องให้คสช.หยุดคุกคามกลุ่มนักวิชาการที่ร่วมกันแถลงข่าวมหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหารก่อนหน้านี้ด้วย
ภาพจากเสวนา “ประวัติศาสตร์กับความยุติธรรม” โดยศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ 17 ส.ค.57
คำให้การของไทเรล ได้ระบุถึงเหตุที่ตนสนับสนุนผู้ต้องหาในคดีนี้สามประเด็นหลัก โดยสรุปได้แก่
ข้อ 1 ข้าพเจ้าเห็นว่าการกระทำการอ่านแถลงการณ์ของอาจารย์สองท่านและพวก เรื่อง “เสรีภาพทางปัญญาของระบบการศึกษา” ไม่ได้การละเมิดกฎหมาย แม้ข้าพเจ้าอ่านแถลงการณ์ฉบับนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังไม่เข้าใจว่าเข้าข่ายการละเมิดข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 อย่างไร
อาจารย์สองท่านและพวก ตอบคำวิจารณ์ของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ต.ค.58 โดยการเขียนและออกแถลงการณ์ที่อธิบายความสำคัญของเสรีภาพทางวิชาการต่อการสอนในห้องเรียน ในรั้วมหาวิทยาลัย และนอกรั้วมหาวิทยาลัยในสังคมอย่างกว้างขวาง การสร้างพื้นที่และบรรยากาศพอที่จะได้มีความคิดเห็นต่างกันหลายชนิด ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งและแตกแยกอย่างที่ท่านนายกรัฐมนตรีเคยกล่าว แต่ตรงกันข้าม การมีพื้นที่แบบนี้และสอนให้เคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมและชอบธรรม และเพื่อสร้างจิตสำนึกพอที่จะให้นักศึกษาฝัน และทำงานเพื่อความรู้และปัญญาใหม่
การร่วมกันนั่งแถลงการณ์ห้าคนขึ้นไปของอาจารย์สองท่านและพวก จะตีความให้ได้เข้าข่ายความหมายของคำว่า “ชุมนุม” “มั่วสุม” หรือ “ชุมนุมทางการเมือง” ก็ยังไม่ตรงกับความหมายของคำดังกล่าว แต่เป็นการเรียกร้องปกป้องสถาบันการศึกษาในภาวะวิกฤต การอ่านแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวไม่ใช่เป็นการชุมนุมทางการเมือง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปกครองประเทศ แต่เกี่ยวข้องกับการสอน การเรียน และการพยายามผลักให้คนรุ่นใหม่เกิดจิตสำนึกและแรงบันดาลใจพอที่จะแสวงหาความรู้ใหม่เพื่อทำให้สังคมรุ่มรวยปัญญา และเต็มไปด้วยความสามารถในการเข้าใจและแก้ปัญหาหลายชนิด
ข้อ 2 ไม่ใช่เพียงแต่การกระทำดังกล่าวไม่ใช่การละเมิดกฎหมาย แต่ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้ามองว่าเป็นการกระทำเพื่อปกป้องและส่งเสริมการศึกษาของมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นครูและอาจารย์ ในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวเขียนไว้ว่า “การจัดการเรียนการสอนของคณาจารย์จำนวนมากในมหาวิทยาลัยจึงไม่ได้เป็นการสอนให้ท่องจำและยึดมั่นในวิธีคิดและอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่งโดยปราศจากการโต้แย้ง” และ “คณาจารย์จำนวนมากจึงเห็นว่าการทำให้เกิดทัศนะวิพากษ์หรือมุมมองที่แตกต่างเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในสังคม เพื่อให้มีผู้คนในสังคมสามารถคิดได้เอง และมีความเคารพตลอดจนความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจในผู้คนที่มีมุมมองแตกต่างจากตนเองอย่างแท้จริง”
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับประเด็นนี้เป็นอย่างยิ่ง การมีทัศนะวิพากษ์แตกต่างและการมีความเคารพต่อทัศนะวิพากษ์นี้เป็นเสาหลักสำคัญของเสรีภาพทางวิชาการ และข้าพเจ้าคิดว่าการพยายามส่งเสริมและปกป้องระบบการศึกษาและสังคมด้านนี้เป็นบทบาทสำคัญอันหนึ่งของครูและอาจารย์ ยิ่งกว่านั้นเป็นการกระทำที่ควรถูกยกย่อง ไม่ใช่ถูกทำให้เป็นอาชญากรรม
ข้อ 3 ข้าพเจ้าสนับสนุนอาจารย์ทั้งสองท่านและพวก เพราะเห็นว่าเหมาะสมที่จะสนับสนุนเพื่อนร่วมงานวิชาการที่ต้องประสบกับการคุกคามและถูกดำเนินคดีเนื่องจากงานปกป้องเสรีภาพทางวิชาการ ข้าพเจ้าไม่ใช่พลเมืองไทยและไม่ได้ทำงานในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย แต่ตลอดสิบหกปีที่ผ่านมาที่ข้าพเจ้ามาศึกษาและทำวิจัยประวัติศาสตร์การเมืองไทย การที่มีโอกาสมีส่วนร่วมในชุมชนนักวิชาการที่ประเทศไทย ส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความคิดที่ลึกซึ้งกว่าเดิมและได้ตั้งคำถามใหม่ๆ เพราะฉะนั้นทั้งในฐานะที่เป็นนักวิชาการผู้ที่ใช้ชีวิตเพื่อแสวงหาความรู้ และในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน ก็เหมาะที่ข้าพเจ้าจะยืนอยู่ข้างเดียวกับอาจารย์ทั้งสองท่านและพวก
ในส่วนต่อมาของคำให้การ ไทเรลยังเน้นย้ำว่าการแสดงออกของผู้ต้องหาทั้งสองท่านและพวกเป็นการกระทำที่อยู่ในขอบเขตของการใช้เสรีภาพตามปกติและเป็นเสรีภาพทางวิชาการ การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพทางวิชาการของอาจารย์สองท่านและพวก สะท้อนถึงวิกฤตเชิงเสรีภาพอย่างกว้างขวางในประเทศไทยที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 22 พ.ค.57
วิกฤตในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์จำกัดเสรีภาพทางวิชาการทั่วโลกที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก แต่ไม่ใช่แค่วิกฤตที่เป็นปรากฏการณ์สากล การกระทำเพื่อปกป้องเสรีภาพโดยอาจารย์สองท่านและพวก เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวอันยาวนานและเป็นหลักสากลที่สำคัญด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้าขออธิบายรายละเอียดและความหมายเป็นสามประเด็นหลักดังนี้
ข้อ 1 ปัจจัยหลักอันหนึ่งของการปกครองโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติตั้งแต่ยึดอำนาจรัฐประหาร ในวันที่ 22 พ.ค.57 คือการพยายามปิดปากประชาชนผู้ที่มีความคิดเห็นต่างกันและทำให้ความคิดเห็นต่างกันนี้กลายเป็นอาชญากรรม คสช.ใช้วิถีทางกฎหมายและวิถีคุกคามนอกกฎหมายในกระบวนการนี้ โดยรวมการกระทำทั้งหมดนี้สร้างบรรยากาศความกลัวที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออกโดยตรง การที่อาจารย์สองท่านและพวกถูกดำเนินคดีเนื่องจากการแสดงออกทางความคิดเห็น เพื่อการสนับสนุนและส่งเสริมเสรีภาพทางวิชาการก็ตรงกับกระบวนการนี้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่อันตรายและคงส่งผลเสียต่อระบบการศึกษาและสังคมไทยในระยะยาว
ข้อ 2 การละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและจำกัดเสรีภาพทางวิชาการกลายเป็นวิกฤตในหลายๆ ประเทศในยุคนี้ องค์การนักวิชาการที่เสี่ยง (Scholars at Risk) ซึ่งเป็นองค์การสิทธิมนุษยชนนานาชาติที่ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา รวบรวมสถิติของการกระทำของรัฐต่างๆ ทั่วโลกที่จำกัดเสรีภาพทางวิชาการระหว่างเดือนมกราคม 2554 ถึง พฤษภาคม 2558 พบว่าในช่วงระหว่างนั้นมีนักวิชาการอย่างน้อย 111 คนที่ถูกสังหาร บังคับอุ้มหาย หรือถูกทำร้ายร่างกาย 67 คนที่ถูกจองจำคุก 47 คนที่ถูกดำเนินคดี 37 คนที่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งวิชาการ 12 คนที่ถูกไม่ให้เดินทาง และอีก 59 คนที่ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพในรูปแบบอื่น รวมแล้ว 333 คน ทั้งหมดนี้ถูกใช้ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิเสรีภาพเนื่องจากการใช้เสรีภาพทางวิชาการ
การตั้งข้อหาและดำเนินคดีต่ออาจารย์สองท่านและพวก เข้าข่ายประเภทของการดำเนินคดีหรือสั่งจำคุกนักวิชาการเนื่องจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและทางวิชาการนี้ องค์การนักวิชาการที่เสี่ยงวิเคราะห์ว่าเป็นการกระทำที่อยุติธรรมและมีผลอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง การใช้กฎหมายเพื่อจำกัดการแสดงออก เนื้อหา และการกระทำทางวิชาการเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือบีบบังคับและเป็นภัยต่ออุดมศึกษาโดยตรง
ข้อ 3 เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนทุกคนมีความสำคัญและเป็นที่น่าปกป้องเท่ากัน เสรีภาพในการแสดงออกของนักวิชาการไม่ใช่สำคัญกว่าเสรีภาพของคนกลุ่มอื่น แต่ได้ถูกเน้นเป็นพิเศษเพราะมีจำนวนไม่น้อยในรัฐทหารหรือเผด็จการรูปแบบอื่นๆ ที่นักวิชาการมักเป็นกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมตัวกันตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของการปกครองแบบนี้ การที่นักวิชาการมักตั้งคำถามกับการใช้อำนาจปกครองตามอำเภอใจก็สอดคล้องกับการประกอบอาชีพการแสวงหา จัดการ และแพร่ความรู้บนพื้นฐานที่มีเหตุมีผลของพวกเขานั่นเอง
ตัวอย่างเช่นคือ คณาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่อสิทธิมนุษยชน (University Teachers for Human Rights, UTHR) ที่ประเทศศรีลังกาในช่วงสงครามกลางเมือง UTHR เป็นกลุ่มนักวิชาการก่อตั้งที่มหาวิทยาลัยจาฟนาในปี 2531 เพื่อบันทึก วิเคราะห์วิจารณ์ และเรียกร้องความยุติธรรมในกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนทั้งโดยกองทัพศรีลังกา กองทัพอินเดีย และกองทัพพยัคฆ์ปลดปล่อยทมิฬอีแลม แต่กลุ่มที่มีอำนาจในขณะนั้นกลับตอบโต้ด้วยปฏิกิริยาอย่างโหดร้าย Dr. Rajani Thiranagama ที่เป็นหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยจาฟนาและผู้นำของ UTHR ถูกยิงสังหารในปี 2532 สมาชิกกลุ่มอีกหลายๆ ท่านต้องหนีออกจากพื้นที่ เพื่อให้รอดชีวิตจากภัยที่มาจากทั้งสามกองทัพ
อีกตัวอย่างคือ กลุ่มแม่เทียนอันเหมิน ไม่นานหลังจากการสังหารหมู่ ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน วันที่ 4 มิ.ย.2532 มีแม่ของผู้ที่เสียชีวิตตั้งกลุ่มเพื่อค้นหาความจริง และเรียกร้องความยุติธรรม ในสามสิบกว่าปีตั้งแต่นั้น กลุ่มแม่เทียนอันเหมินกลายเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่รณรงค์สิทธิของนักโทษการเมือง ผู้นำของกลุ่มคือ อ.Ding Zilin ที่ขณะเกิดเหตุเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัย Renmin ลูกชายของเขาเป็นนักเรียนอายุ 17 ปี และเป็นหนึ่งในคนที่ถูกสังหาร ตลอดสามสิบกว่าปีที่ทำงานมา อ.Ding Zilin และสมาชิกผู้อื่นในกลุ่มถูกคุกคาม สอบสวน และจำกัดสิทธิเสรีภาพในรูปแบบอื่นโดยรัฐจีน
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ กลุ่มนักวิชาการตุรกีที่เพิ่งโดนคุกคามตอนเดือนมกราคม 2559 นักวิชาการตุรกี 1,128 คน ถูกคุกคามและสอบสวนหลังจากลงชื่อในจดหมายถึงรัฐตุรกี เรียกร้องให้หยุดการสังหารและกระบวนการไล่ออกจากประเทศต่อชาวเคิร์ดคนกลุ่มน้อยที่ รัฐบาลตุรกีไม่พอใจกับจดหมายและบอกว่าการลงชื่อผิดกฎหมายเพราะเป็นการเผยแพร่ “การโฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย” มีโทษจำคุกระหว่างหนึ่งถึงห้าปี แม้ว่ามีการเรียกร้องโดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการทั้งในประเทศตุรกีและต่างประเทศให้รัฐตุรกีหยุดการสอบสวนและคุกคามนักวิชาการ ก็ยังไม่มีผล
“การแสวงหาความจริงและการตั้งคำถามเป็นกิจกรรมประจำวันของนักวิชาการ ถ้าหากผู้มีอำนาจใช้อำนาจปกครองด้วยความเป็นธรรม คงไม่ต้องกลัวความจริงและคำถามจากนักวิชาการผู้ที่สอนหนังสือ” คำให้การของไทเรลสรุป
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เปิดคำให้การ “อรรถจักร์-สมชาย” ความชอบธรรม 5 ประการของการแถลง “มหาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร”
‘จันทจิรา เอี่ยมมยุรา’ เข้าให้การเป็นพยานคดีนักวิชาการแถลงมหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร
เปิดคำให้การ ‘สุริชัย หวันแก้ว’ พยานคดีนักวิชาการแถลงมหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร
‘ไชยันต์ ไชยพร’ เข้าให้การเป็นพยานคดีแถลง ‘มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร’